ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลงกว่า 100 จุดในวันนี้ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวลงในคืนนี้ ตามการอ่อนตัวของตลาดหุ้นเอเชีย ท่ามกลางการแสดงความเห็นที่ซบเซาจากผู้ที่เข้าร่วมการประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF)
ณ เวลา 20.34 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 145 จุด หรือ 0.59% สู่ระดับ 24,542 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำการเมื่อวานนี้ เนื่องในวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์
ในการซื้อขายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 336.25 จุด หรือ 1.38% โดยปิดตลาดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 ขณะที่ได้รับปัจจัยหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า สหรัฐกำลังพิจารณาที่จะการผ่อนคลายมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ขณะที่จีนเองก็ได้เสนอเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจได้รับการแก้ไขในเร็ววัน นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากข้อมูลภาคอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ดี นักลงทุนรายหนึ่งที่เข้าร่วมการประชุม WEF ได้แสดงความกังวลต่อปัจจัยต่างๆ ซึ่งอาจกระทบตลาด ซึ่งได้แก่ การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งความไม่แน่นอนกรณีที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังถูกกระทบความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และการปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐ (ชัตดาวน์) ซึ่งขณะนี้ทำสถิติยาวนานเป็นประวัติการณ์ และส่งผลกระทบต่อพนักงานของรัฐบาลจำนวน 800,000 คน
ทางด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่เตือนว่ายังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายประการ
ทั้งนี้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.5% ในปีนี้ และ 3.6% ในปีหน้า โดยต่ำกว่าระดับ 3.7% สำหรับทั้ง 2 ปีที่มีการคาดการณ์ในเดือนต.ค.ปีที่แล้ว
การดำเนินการดังกล่าวของ IMF ถือเป็นการปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน
ส่วนสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า GDP ในไตรมาส 4/2561 ขยายตัวเพียง 6.4% ส่วน GDP ตลอดปี 2561 ขยายตัว 6.6% จากระดับของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ระดับต่ำสุดในรอบ 28 ปี อันเนื่องมาจากผลกระทบของการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน