ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 33.97 จุด เหตุวิตกผลประกอบการ-ข้อมูลศก.สหรัฐอ่อนแอ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday February 27, 2019 06:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (26 ก.พ.) โดยได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียน และข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของสหรัฐ นอกจากนี้ นักลงทุนยังชะลอการซื้อขายเพื่อรอความชัดเจนเกี่ยวกับการทำข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีน อย่างไรก็ตาม การที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาส่งสัญญาณว่าเฟดจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น เป็นปัจจัยหนุนตลาด และช่วยให้ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลงไม่มากนัก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,057.98 จุด ลดลง 33.97 จุด หรือ -0.13% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,793.90 จุด ลดลง 2.21 จุด หรือ -0.08% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,549.30 จุด ลดลง 5.16 จุด หรือ -0.07%

ดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนลบเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยโฮม ดีโปท์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เปิดเผยกำไรในไตรมาส 4/2561 ที่ระดับ 2.09 ดอลลาร์/หุ้น ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.16 ดอลลาร์/หุ้น

ผลประกอบการที่ย่ำแย่ส่งผลให้ราคาหุ้นโฮม ดีโปท์ ปรับตัวลง 0.9% และยังฉุดหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มค้าปลีกร่วงลงด้วย โดยหุ้นเซียร์ส โฮลดิ้งส์ ร่วงลง 5.6% หุ้นอเมริกัน อีเกิล เอาท์ฟิทเทอร์ส ลดลง 0.9% หุ้นทาร์เก็ต ร่วงลง 1.1% หุ้นดอลลาร์ ทรี อิงค์ ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐที่จำหน่ายสินค้าทุกชนิดในราคาเพียง 1 ดอลลาร์นั้น ปรับตัวลงราว 0.9%

หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ร่วงลง 2.4% หลังจากธนาคารยูบีเอสประกาศปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นแคทเธอร์ พิลลาร์ ลงสู่ระดับ "sell" จากเดิมที่ระดับ "buy" โดยระบุถึงอุปสงค์ในภาคก่อสร้างที่ชะลอตัวลงทั่วโลก

หุ้นเทสลา ปรับตัวลง 0.3% หลังจากมีรายงานว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) เปิดได้ยื่นคำร้องต่อผู้พิพากษาประจำศาลเขตแมนฮัตตัน เพื่อให้ดำเนินคดีต่อนายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเทสลา อิงค์ ฐานละเมิดข้อตกลงยุติคดีปั่นหุ้นที่ได้ทำไว้เมื่อปีที่ผ่านมา เนื่องจากทางก.ล.ต.สหรัฐพบว่า นายมัสก์ได้โพสต์ข้อความลงบนทวิตเตอร์ซึ่งมีเนื้อหาที่ขัดต่อข้อตกลงดังกล่าว

หุ้นเมซี่ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 1.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4/2561 ที่ระดับ 2.73 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.53 ดอลลาร์/หุ้น

หุ้นกลุ่มธุรกิจสร้างบ้านร่วงลงหลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนธ.ค.ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี โดยหุ้นโทลล์ บราเธอร์ส ลดลง 0.1% หุ้นพัลท์กรุ๊ป ลดลง 0.4% หุ้นเลนนาร์ คอร์ป ลดลง 0.4% และหุ้นดีอาร์ ฮอร์ตัน ลดลง 0.5%

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเดือนธ.ค.ร่วงลง 11.2% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 1.078 ล้านยูนิต จากระดับ 1.214 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย. โดยตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนธ.ค.ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีผลต่อภาวะการซื้อขายเมื่อคืนนี้ รวมถึงผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ซึ่งระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.7% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนส.ค.2558 และชะลอตัวลงจากระดับ 5.1% ในเดือนพ.ย.

ขณะที่ผลสำรวจของ Conference Board ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 131.4 ในเดือนก.พ. จากระดับ 121.7 ในเดือนม.ค. โดยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของตลาดหุ้น รวมทั้งการยุติการปิดหน่วยงานรัฐบาล (ชัตดาวน์)

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยหนุนหลังจากนายพาวเวลได้กล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาเมื่อวานนี้ โดยระบุว่า เฟดจะใช้ความอดทนในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการตัดสินใจด้านนโยบายอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่เฟดได้รับ

นอกจากนี้ นายพาวเวลยังกล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่ง แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยง ซึ่งเฟดกำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะปรับนโยบาย หากมีความจำเป็น

นักลงทุนจับตานายพาวเวลซึ่งมีกำหนดกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้และอยู่ในความสนใจของนักลงทุนได้แก่ ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนธ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนม.ค., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/2561, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ม.ค., รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนม.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.พ.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนก.พ.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ