ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (21 มี.ค.) นำโดยหุ้นกลุ่มการเงินที่ปรับตัวลงต่อ หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ขณะที่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ก็ยังคงกดดันตลาด
ดัชนี Stoxx Europe ลบ 0.04% ปิดที่ 380.69 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,378.85 จุด ลดลง 3.80 จุด หรือ -0.07% และ ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,549.96 จุด ลดลง 53.94 จุด, หรือ -0.46% ขณะที่ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,355.31 จุด เพิ่มขึ้น 64.30 จุด หรือ +0.88%
ตลาดปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนชะลอการเข้าซื้อหุ้น ขณะจับตาสถานการณ์ Brexit ที่ยังไม่มีความแน่นอน โดยล่าสุดนายโดนัลด์ ทัสก์ ประธานคณะมนตรียุโรป เปิดเผยว่า 27 ชาติสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) ได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้เลื่อนเวลา Brexit ตามคำร้องขอของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายทัสก์เปิดเผยผ่านทางทวิตเตอร์ว่า EU ได้ตกลงที่จะขยายเวลาการบังคับใช้มาตรา 50 ไปจนถึงวันที่ 22 พ.ค. หากรัฐสภาอังกฤษลงมติอนุมัติข้อตกลง Brexit ในสัปดาห์หน้า
ส่วนการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เมื่อวานนี้ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ 9-0 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.75% ตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากปัจจัย Brexit
สำหรับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจนั้น สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) รายงานว่า ยอดค้าปลีกของอังกฤษเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.พ. โดยสวนทางตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่ายอดค้าปลีกจะลดลง 0.4% หลังจากพุ่งขึ้น 0.9% ในเดือนม.ค.
หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลง โดยหุ้นดอยซ์ แบงก์ ร่วง 4.10% และ หุ้นคอมเมิร์ซแบงก์ ลดลง 2.29%
หุ้นเอสซีลอร์ลักซอติก้า ซึ่งเป็นบริษัทผลิตแว่นตาของฝรั่งเศส ดิ่งลง 6.55% หลังประธานบริษัทให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เลอ ฟิกาโรว่า รองประธานและซีอีโอของบริษัทเอสซีลอร์ละเมิดเงื่อนไขของข้อตกลงควบกิจการปี 2560 ระหว่างเอสซีลอร์ และ ลักซอติก้า