ดาวโจนส์พลิกแดนบวก หลังเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐสูงสุดรอบ 15 ปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 17, 2019 22:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์พลิกดีดตัวสู่แดนบวกในวันนี้ หลังการเปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐที่พุ่งสูงสุดในรอบ 15 ปี

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวก จากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ตัดสินใจชะลอการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อรถยนต์ และอะไหล่รถยนต์จากต่างประเทศออกไปอีก 6 เดือน

ณ เวลา 21.59 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,913.97 จุด บวก 51.29 จุด หรือ 0.20% หลังจากที่ดิ่งลงกว่า 200 จุดในช่วงแรก

ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 102.4 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 97.5 จากระดับ 97.2 ในเดือนเม.ย.

นอกจากนี้ ดัชนีภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และดัชนีคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตต่างปรับตัวขึ้นในเดือนพ.ค.

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเป็นการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค 500 รายต่อภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่ ฐานะการเงินส่วนบุคคล, ภาวะเงินเฟ้อ, การว่างงาน, อัตราดอกเบี้ย และนโยบายรัฐบาล

อย่างไรก็ดี มหาวิทยาลัยมิชิแกนได้จัดทำการสำรวจดังกล่าว ก่อนที่การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความล้มเหลวในสัปดาห์ที่แล้ว

ทำเนียบขาวแถลงในวันนี้ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ตัดสินใจชะลอการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อรถยนต์ และอะไหล่รถยนต์จากต่างประเทศออกไปอีก 6 เดือน เพื่อให้สหรัฐมีเวลามากขึ้นในการเจรจาการค้ากับยุโรป และญี่ปุ่น

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์สั่งการให้นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ทำการเจรจากับยุโรป และญี่ปุ่น และให้รายงานกลับมายังปธน.ทรัมป์ภายในเวลา 180 วัน ขณะที่ปธน.ทรัมป์ระบุว่า รถยนต์และรถบรรทุกนำเข้าบางส่วนได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และเป็นภัยต่อความมั่นคง

ปธน.ทรัมป์มีเวลาจนถึงเที่ยงคืนวันศุกร์นี้ตามเวลาสหรัฐ หรือเวลา 11.00 น.ในวันเสาร์ตามเวลาไทย ในการประกาศขึ้นภาษีต่อรถยนต์นำเข้า ตามข้อแนะนำจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมรถยนต์สหรัฐจากรถยนต์นำเข้า

ตามกฎหมายสหรัฐ รัฐบาลสหรัฐยังคงมีเวลาอีก 180 วันในการทำการตัดสินใจในเรื่องการจัดเก็บภาษีดังกล่าว ตราบใดที่สหรัฐกำลังเจรจากับทางยุโรป และญี่ปุ่น

อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังคงกังวลต่อความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

นายเกา เฟิง โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และสหรัฐมีพฤติกรรมรังแกจีนในระหว่างการเจรจาการค้า ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้การเจรจาประสบความล้มเหลว

"ทั้งสองฝ่ายได้เริ่มต้นการเจรจาอย่างสร้างสรรค์ในการเจรจาการค้าและเศรษฐกิจระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนและสหรัฐรอบที่ 11 อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าเสียใจที่ว่า ฝ่ายสหรัฐได้เพิ่มความขัดแย้งทางการค้าแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเจรจา" นายเฟิงกล่าว

"จีนเชื่อมาโดยตลอดว่าการขึ้นภาษีไม่ใช่ทางออกในการแก้ไขความขัดแย้งทางการค้า อย่างไรก็ดี จีนจะดำเนินการตอบโต้ด้วยมาตรการที่จำเป็น และเราขอเรียกร้องให้สหรัฐเร่งแก้ไขในสิ่งที่ผิดเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่เพิ่มขึ้นต่อภาคธุรกิจและผู้บริโภคในทั้งสองประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจโลก" เขากล่าว

ทั้งนี้ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความล้มเหลวในสัปดาห์ที่แล้ว โดยที่ประชุมไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้า ขณะที่สหรัฐได้เพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% ส่งผลให้จีนทำการตอบโต้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ด้วยการเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย.

นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกต่อการที่การเจรจาระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยมของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และพรรคแรงงานของนายเจเรมี คอร์บิน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านของอังกฤษ ประสบความล้มเหลวในวันนี้ โดยทั้งสองฝ่ายยังคงมีความขัดแย้งเกี่ยวกับข้อตกลงว่าด้วยการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)

ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายรายในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ