ดาวโจนส์พุ่งกว่า 200 จุด หลังจีนส่งสัญญาณเจรจาการค้ารอบใหม่กับสหรัฐ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 4, 2019 21:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 200 จุดในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่จีนส่งสัญญาณเปิดการเจรจาการค้ารอบใหม่เพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐ

ณ เวลา 21.01 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,062.75 จุด บวก 242.97 จุด หรือ 0.98%

กระทรวงพาณิชย์จีนออกแถลงการณ์ ระบุว่า ความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขผ่านทางการเจรจาต่อไป

"จีนเชื่อมาโดยตลอดว่า ความคิดเห็นที่แตกต่าง และความขัดแย้งทางการค้าและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศทั้งสอง ในท้ายที่สุดแล้ว จำเป็นที่จะต้องได้รับการแก้ไขผ่านการเจรจา และการปรึกษาหารือ"

"อย่างไรก็ดี การปรึกษาหารือดังกล่าวต้องมีหลักการ และตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน ความเท่าเทียมกัน และผลประโยชน์ร่วมกัน เราหวังว่าสหรัฐจะยกเลิกแนวปฏิบัติที่ผิดพลาด และทำงานร่วมกับจีน ซึ่งภายในจิตวิญญาณของการเคารพซึ่งกันและกัน ความเท่าเทียมกัน และผลประโยชน์ร่วมกัน เราจะสามารถควบคุมความคิดเห็นที่แตกต่าง และเพิ่มความร่วมมือในการปกป้องการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างจีนและสหรัฐให้มีเสถียรภาพ และยั่งยืน"

"การที่สหรัฐกล่าวหาจีนว่าเป็นฝ่ายกลับคำพูดในระหว่างที่มีการปรึกษาหารือ เป็นการกล่าวหาที่ไร้สาระ เนื่องจากในระหว่างการปรึกษาหารือ เป็นเรื่องปกติที่การเจรจาการค้าจะต้องมีการเสนอการเปลี่ยนแปลง และการปรับเปลี่ยนต่อเนื้อหาในข้อความ" แถลงการณ์ระบุ

ทั้งนี้ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความล้มเหลวในเดือนที่แล้ว โดยที่ประชุมไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้า ขณะที่สหรัฐได้เพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% ส่งผลให้จีนทำการตอบโต้ ด้วยการเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย.

นอกจากนี้ สหรัฐได้ขึ้นบัญชีดำบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ทำให้บริษัทไม่สามารถซื้อสินค้าจากสหรัฐ และสหรัฐยังได้เตรียมพิจารณาเพิ่มบัญชีรายชื่อบริษัทจีนที่จะถูกขึ้นบัญชีดำ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำลังพิจารณาที่จะขึ้นบัญชีดำบริษัทจำหน่ายกล้องวงจรปิดรายใหญ่ 5 รายของจีน ซึ่งรวมถึงบริษัท Hikvision Digital Technology และ บริษัท Dahua Technology ด้วยข้อหากระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคลายความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและเม็กซิโก หลังจากที่นายมาร์เซลโล เอบราร์ด รัฐมนตรีต่างประเทศเม็กซิโก กล่าวว่า เขาคาดหวังว่าสหรัฐและเม็กซิโกจะสามารถหาจุดยืนร่วมกันในด้านผู้อพยพเข้าเมือง และการค้า

ทางด้านหนังสือพิมพ์เดอะ วอชิงตัน โพสต์รายงานว่า สมาชิกสภาคองเกรสสังกัดพรรครีพับลิกันกำลังหารือกันเกี่ยวกับการลงมติคัดค้านแผนการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในการปรับขึ้นอัตราภาษีต่อสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดจากเม็กซิโก ในอัตรา 5% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย. และจะเพิ่มขึ้นทุกเดือนจนแตะระดับ 25% ในวันที่ 1 ต.ค. ถ้าเม็กซิโกไม่สามารถสกัดการหลั่งไหลของผู้อพยพผิดกฎหมายที่ข้ามพรมแดนเข้าสู่สหรัฐ

แหล่งข่าวยังเปิดเผยว่า การลงมติของสภาคองเกรสยังอาจสกัดแผนการจัดสรรงบประมาณจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์สำหรับการสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกของปธน.ทรัมป์ หลังจากที่เขาประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติทางชายแดนตอนใต้ในเดือนก.พ.

ทั้งนี้ กฎหมายสหรัฐให้สภาคองเกรสมีอำนาจในการยกเลิกคำสั่งประกาศภาวะฉุกเฉินด้วยการออกมติคัดค้านคำสั่งดังกล่าว

นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้า หลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ซบเซา

นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า เฟดจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ เพื่อกระตุ้นเงินเฟ้อ และเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเผชิญภาวะขาลง อันเนื่องมาจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น

นายบูลลาร์ดกล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ เพื่อช่วยหนุนอัตราเงินเฟ้อและการคาดการณ์เงินเฟ้อ นอกจากนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยยังอาจช่วยพยุงเศรษฐกิจ ในกรณีที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ นายบูลลาร์ดถือเป็นกรรมการเฟดคนแรกที่ออกมาแสดงความเห็นต่อสาธารณะว่าเฟดจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย นับตั้งแต่เฟดได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 2.25-2.50% ในการประชุมเดือนม.ค.ปีนี้ โดยแถลงการณ์ของเฟดระบุว่า เฟดจะใช้ "ความอดทน" ในการดำเนินนโยบายการเงิน พร้อมกับพิจารณาถึงอุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า

การประชุมเฟดครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 18-19 มิ.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ