ดาวโจนส์พุ่งไม่หยุด ล่าสุดทะยานกว่า 300 จุดทะลุแนว 26,000 คาดเฟดหั่นดบ.เร็วกว่าคาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 7, 2019 22:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดทะยานมากกว่า 300 จุด ทะลุระดับ 26,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 1 เดือน ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยจะดำเนินการอย่างเร็วที่สุดในเดือนหน้า หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอเกินคาดของสหรัฐ

นอกจากนี้ ตลาดวอลล์สตรีทยังได้ปัจจัยบวกจากการที่สหรัฐได้เลื่อนกำหนดเวลาในการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีน

ณ เวลา 21.57 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,055.02 จุด บวก 334.36 จุด หรือ 1.30%

อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงในวันนี้ ตามการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้า

ดาวโจนส์ทะยานขึ้น 4.7% ในสัปดาห์นี้ และมีแนวโน้มทำสถิติปรับตัวขึ้นมากที่สุดเทียบรายสัปดาห์นับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว

ทั้งนี้ เฟดจะประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันที่ 18-19 มิ.ย. ขณะที่ FedWatch ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 79% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนก.ค. และมีโอกาส 90% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. และโอกาสมากกว่า 80% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธ.ค.

นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เฟดกำลังจับตามองพัฒนาการทางเศรษฐกิจในขณะนี้ และจะดำเนินการในสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจดำเนินต่อไป

นอกจากนี้ นายพาวเวลยังเปิดเผยว่า เครื่องมือที่เฟดเคยใช้ในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ ซึ่งได้แก่ การกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ใกล้ 0% และการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) มีแนวโน้มที่จะถูกนำมาใช้อีกครั้งหนึ่ง

กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 75,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 180,000 ตำแหน่ง และต่ำกว่าระดับ 224,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย.

ทั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 4 เดือนที่การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 100,000 ตำแหน่ง

ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 3.6% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2512 สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% เช่นเดียวกันในเดือนเม.ย.

เมื่อเทียบรายปี ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงานลดลงสู่ระดับ 3.1%

ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ

กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนปรับลดตัวเลขการจ้างงานในเดือนมี.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 153,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 189,000 ตำแหน่ง และทบทวนปรับลดตัวเลขการจ้างงานในเดือนเม.ย. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 224,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 263,000 ตำแหน่ง

กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่าในเดือนพ.ค. ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 90,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาครัฐจ้างงานลดลง 15,000 ตำแหน่ง

สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) แถลงว่า สหรัฐได้เลื่อนกำหนดเวลาในการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีน จากวันที่ 1 มิ.ย. เป็นวันที่ 15 มิ.ย.

นอกจากนี้ สื่อรายงานว่า รัฐบาลสหรัฐอาจจะเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโก ในขณะที่การเจรจาของเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายยังคงดำเนินอยู่ในขณะนี้

เจ้าหน้าที่สหรัฐรายหนึ่งเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า แม้มีความเป็นไปได้ว่าคณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกในอัตรา 5% ในวันจันทร์ที่ 10 มิ.ย.ตามที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ แต่ก็มีแนวโน้มว่าการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวอาจถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากสหรัฐเล็งเห็นว่า เม็กซิโกมีความพยายามอย่างจริงจังและดำเนินการอย่างรวดเร็วในการแก้ไขปัญหาต่างๆที่เป็นข้อกังวลของปธน.ทรัมป์

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐยังกล่าวด้วยว่า แม้ว่ามาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกในอัตรา 5% มีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 มิ.ย. แต่หากเม็กซิโกดำเนินการตามคำมั่นสัญญาที่จะสกัดกั้นการหลั่งไหลของผู้อพยพ การเก็บภาษีดังกล่าวก็จะเป็นการดำเนินการเพียงชั่วคราวเท่านั้น

ทางด้านนายมาร์เซลโล เอบราร์ด รัฐมนตรีต่างประเทศเม็กซิโก กล่าวว่า การเจรจาวานนี้ระหว่างเจ้าหน้าที่เม็กซิโกและสหรัฐเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาผู้อพยพเข้าสหรัฐโดยผิดกฎหมายนั้น ประสบความคืบหน้า

ทั้งนี้ นายเอบราร์ดและเจ้าหน้าที่เม็กซิโกกำลังอยู่ที่กรุงวอชิงตันในขณะนี้เพื่อเจรจากับเจ้าหน้าที่สหรัฐ นำโดยนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ

เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีต่อสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าจากเม็กซิโก ในอัตรา 5% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย. และจะเพิ่มขึ้นทุกเดือนจนแตะระดับ 25% ในวันที่ 1 ต.ค. ถ้าเม็กซิโกไม่สามารถสกัดการหลั่งไหลของผู้อพยพผิดกฎหมายที่ข้ามพรมแดนเข้าสู่สหรัฐ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ