ดาวโจนส์ฟิวเจอร์พุ่งกว่า 100 จุด บ่งชี้วอลล์สตรีทดีดตัว เมิน"ทรัมป์"ขู่รีดภาษีจีน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 11, 2019 17:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุดในวันนี้ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะดีดตัวขึ้นในคืนนี้ แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ขู่เรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้าจีน หากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ไม่เข้าร่วมการประชุมสุดยอด G20 ในเดือนนี้

ณ เวลา 17.29 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์บวก 116 จุด หรือ 0.44% สู่ระดับ 26,202 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 0.30% เมื่อคืนนี้ ทำสถิติปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 6 ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2561 โดยนักลงทุนขานรับการที่สหรัฐระงับการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก รวมทั้งข่าวการควบรวมกิจการและซื้อกิจการของบริษัทจดทะเบียน ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G20 ที่ประเทศญี่ปุ่น และการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนนี้

ทั้งนี้ ในการให้สัมภาษณ์ต่อรายการ "Squawk Box" ของสำนักข่าว CNBC เมื่อวานนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า หากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำของจีน ไม่เข้าร่วมการประชุมสุดยอด G20 ในเดือนนี้ สหรัฐก็จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้านำเข้าจากจีน

ปธน.ทรัมป์ยังขู่ว่า สหรัฐจะเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนอีก 3 แสนล้านดอลลาร์ หากสหรัฐไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับจีนในไม่ช้า

ก่อนหน้านี้ มีการคาดการณ์กันว่า ปธน.ทรัมป์ และปธน.สี จิ้นผิง จะพบปะกันนอกรอบการประชุมสุดยอดของกลุ่ม G20 ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 28-29 มิ.ย. เพื่อเจรจาแก้ไขความขัดแย้งทางการค้า

ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะรู้สึกประหลาดใจ หากปธน.สี จิ้นผิงไม่เข้าร่วมการประชุมสุดยอด G20 นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังระบุว่า เขามีความสัมพันธ์อันดีกับผู้นำจีน

ทั้งนี้ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความล้มเหลวในเดือนที่แล้ว โดยที่ประชุมไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้า ขณะที่สหรัฐได้เพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% ส่งผลให้จีนทำการตอบโต้ ด้วยการเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย.

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมเฟดในวันที่ 18-19 มิ.ย.นี้ ขณะที่ FedWatch ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 79% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนก.ค. และมีโอกาส 90% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. และโอกาสมากกว่า 80% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธ.ค.

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ค., อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนพ.ค., ยอดค้าปลีกเดือนพ.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนเม.ย. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนมิ.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ