ดาวโจนส์ดิ่งกว่า 100 จุด หลังประธานเฟดเซนต์หลุยส์ขวางหั่นดอกเบี้ย 0.50%

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 26, 2019 00:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 100 จุด หลังจากที่นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์ แสดงความเห็นคัดค้านการที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50%

นอกจากนี้ นักลงทุนยังผิดหวังต่อตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยในวันนี้

ณ เวลา 00.03 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,588.72 จุด ลบ 138.82 จุด หรือ 0.52%

นายบูลลาร์ดกล่าวว่า การที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% จะเป็นการดำเนินการที่มากเกินไป

"ผมคิดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% จะเป็นการดำเนินการที่มากเกินไป ซึ่งผมไม่คิดว่าสถานการณ์ในขณะนี้จะทำให้เฟดต้องลดอัตราดอกเบี้ยขนาดนี้ แต่ผมจะสนับสนุนให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งผมไม่ต้องการตัดสินล่วงหน้าก่อนการประชุม เนื่องจากสถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไปได้เมื่อถึงเวลาการประชุม แต่ถ้าผมต้องเข้าประชุมวันนี้ นั่นจะเป็นสิ่งที่ผมจะทำ" นายบูลลาร์ดกล่าวต่อสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์ก

ผลสำรวจของ Conference Board ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 121.5 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2560 หลังจากดีดตัวขึ้น 3 เดือนติดต่อกัน และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 131.1 จากระดับ 134.1 ในเดือนพ.ค.

การร่วงลงของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันร่วงลงแตะ 162.6 จากระดับ 170.7 ในเดือนพ.ค. ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในช่วง 6 เดือนข้างหน้าปรับตัวลงสู่ระดับ 94.1 จากระดับ 105.0

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเป็นการสำรวจมุมมองของผู้บริโภค และความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และในช่วง 6 เดือนข้างหน้า, สถานะการเงินส่วนบุคคล และการจ้างงาน

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ร่วงลง 7.8% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 626,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว และเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 2 หลังจากแตะระดับ 679,000 ยูนิตในเดือนเม.ย.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ยอดขายบ้านใหม่จะเพิ่มขึ้น 1.9% สู่ระดับ 680,000 ยูนิตในเดือนพ.ค.

นักลงทุนรอถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในคืนนี้ ซึ่งจะบ่งชี้แนวโน้มเศรษฐกิจ และทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟด

ทั้งนี้ นายพาวเวลมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ที่สภาวิเทศสัมพันธ์ในวันนี้ เวลา 13.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือเที่ยงคืนนี้ตามเวลาไทย

มีการคาดการณ์กันว่า นายพาวเวลจะกล่าวเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และทิศทางนโยบายการเงินของเฟดในวันนี้

การกล่าวสุนทรพจน์ของนายพาวเวลมีขึ้น หลังจากที่เฟดประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมกับส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดมีแนวโน้ม 100% ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า

นอกจากนี้ นายพาวเวลยังมีกำหนดกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรสในเดือนหน้า

ทั้งนี้ นายพาวเวลจะกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 10 ก.ค. และต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันที่ 11 ก.ค.

นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายพาวเวล เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้

ขณะเดียวกัน ตลาดยังจับตาการพบปะกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุม G20 ที่ญี่ปุ่นในสัปดาห์นี้

นายหวัง โส่วเหวิน รมช.พาณิชย์จีน กล่าวว่า คณะเจรจาการค้าของจีนกำลังหารือกับตัวแทนจากทางสหรัฐเกี่ยวกับการแก้ไขความขัดแย้งทางการค้าก่อนการพบปะกันระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการประชุม G20

นายหวังระบุว่า ทั้งสองฝ่ายต้องการสร้างความคืบหน้าจากการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างผู้นำของจีนและสหรัฐในสัปดาห์ที่แล้ว

การประชุมสุดยอด G20 จะมีขึ้นที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 28-29 มิ.ย.

ทั้งนี้ กลุ่ม G20 ประกอบด้วย อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย บราซิล สหราชอาณาจักร แคนาดา จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี อินเดีย อินโดนีเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ ตุรกี สหรัฐ และสหภาพยุโรป

การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความล้มเหลวในเดือนที่แล้ว โดยที่ประชุมไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้า ขณะที่สหรัฐได้เพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% ส่งผลให้จีนทำการตอบโต้ ด้วยการเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10%

นอกจากนี้ สหรัฐได้ขึ้นบัญชีดำบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ทำให้บริษัทไม่สามารถซื้อสินค้าจากสหรัฐ และสหรัฐยังได้เพิ่มรายชื่อบริษัทจีนอีก 5 แห่งเข้าไปในบัญชีดำดังกล่าวในสัปดาห์ที่แล้ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ