ดาวโจนส์ดีดตัวจากหุ้นแบงก์ แต่ช่วงบวกถูกจำกัด ไม่มั่นใจ"ทรัมป์-สึ จิ้นผิง"เจรจาพรุ่งนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 28, 2019 21:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นในวันนี้ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคาร

อย่างไรก็ดี ดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนซื้อขายอย่างระมัดระวัง ก่อนการเจรจาการค้าระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในวันพรุ่งนี้

ณ เวลา 21.27 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,551.28 จุด บวก 24.70 จุด หรือ 0.09%

หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทวันนี้ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ผลการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) บ่งชี้ว่า ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง

ทั้งนี้ ราคาหุ้นของเจพีมอร์แกน เชส, มอร์แกน สแตนลีย์, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โกพุ่งขึ้นกว่า 1.5% ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ และแบงก์ ออฟ อเมริกาทะยานขึ้นกว่า 2%

เฟดเปิดเผยว่า ผลการทดสอบภาวะวิกฤตของธนาคารขนาดใหญ่ที่สุด 18 แห่งในสหรัฐบ่งชี้ว่า ธนาคารแต่ละแห่งมีเงินทุนเพียงพอที่จะเพิ่มการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น และทำการซื้อหุ้นคืน

ขณะเดียวกัน นักลงทุนไม่ได้คาดหวังสูงนักว่า การเจรจาการค้าระหว่างปธน.ทรัมป์ และปธน.สึ จิ้นผิงในวันพรุ่งนี้ จะส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายยุติการทำสงครามการค้าระหว่างกัน

แต่หากปธน.ทรัมป์สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าอย่างเต็มรูปแบบกับปธน.สี จิ้นผิงในวันพรุ่งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนี S&P 500 จะพุ่งขึ้นสู่ระดับ 3,100 จุด หรือดีดตัวขึ้น 6% จากระดับปิดวานนี้ และหากการเจรจาล้มเหลวจนทำให้สหรัฐเรียกเก็บภาษีครั้งใหม่ต่อสินค้านำเข้าจากจีน สถานการณ์นี้ก็จะฉุดให้ดัชนีดิ่งลง 5%

ทางด้านปธน.ทรัมป์ปฏิเสธข่าวที่ว่า เขาได้ให้สัญญาต่อจีนว่า สหรัฐจะผ่อนผันการเรียกเก็บภาษีครั้งใหม่ต่อสินค้านำเข้าจากจีนออกไปอีก 6 เดือน

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์มีกำหนดพบกับปธน.สี จิ้นผิงในวันพรุ่งนี้ เวลา 11.30 น.ตามเวลาญี่ปุ่น หรือ 09.30 น.ตามเวลาไทย นอกรอบการประชุมสุดยอด G20 ที่นครโอซากาของญี่ปุ่น

ต่อข้อถามที่ว่า เขาได้ให้สัญญาต่อปธน.สี จิ้นผิงว่า สหรัฐจะผ่อนผันการเก็บภาษีครั้งใหม่เป็นเวลา 6 เดือนต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์หรือไม่ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า "ไม่"

การประชุมทวิภาคีระหว่างผู้นำสหรัฐและผู้นำจีนในครั้งนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ที่ถูกจับตามองมากที่สุดในการประชุมสุดยอด G20 เนื่องจากจะเป็นการชี้ชะตาว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะสิ้นสุดลง หรือจะยังคงยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน และเศรษฐกิจโลกต่อไป

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่จีนระบุว่า ปธน.สี จิ้นผิงเตรียมเสนอเงื่อนไขในการยุติสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐให้แก่ปธน.ทรัมป์ ในระหว่างที่ผู้นำทั้งสองพบปะกันในวันพรุ่งนี้

ในบรรดาเงื่อนไขที่จีนเรียกร้องต่อทางสหรัฐ ได้แก่ การให้สหรัฐยกเลิกคำสั่งห้ามการขายเทคโนโลยีของสหรัฐให้แก่บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ รวมทั้งสหรัฐจะต้องยกเลิกการจัดเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนทั้งหมด และยกเลิกความพยายามที่จะให้จีนซื้อสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น

นายเกา เฟิง โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน ยังคงย้ำให้สหรัฐยกเลิกการคว่ำบาตรบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ขณะที่จีนยืนยันไม่เปลี่ยนแปลงจุดยืนในประเด็นการค้ากับสหรัฐ

"เราขอเรียกร้องให้สหรัฐยุติการใช้มาตรการกดดันและคว่ำบาตรต่อบริษัทหัวเว่ย และบริษัทอื่นๆของจีน โดยให้ผลักดันการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน" นายเกากล่าว

นอกจากนี้ นายเการะบุว่า จีนยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจุดยืนเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐ ตามที่นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรี และผู้นำการเจรจาการค้าของจีนได้วางแนวทางไว้ในเดือนพ.ค.

การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความล้มเหลวในเดือนที่แล้ว โดยที่ประชุมไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้า ขณะที่สหรัฐได้เพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% ส่งผลให้จีนทำการตอบโต้ ด้วยการเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10%

ปธน.ทรัมป์ยังขู่ว่า หากเขาและปธน.สี จิ้นผิงยังคงไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาการค้าช่วงสุดสัปดาห์นี้ สหรัฐก็จะเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนที่เหลืออีก 3 แสนล้านดอลลาร์

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐแตะระดับ 98.2 ในเดือนมิ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 98.0 และสูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 97.9

ก่อนหน้านี้ ดัชนีความเชื่อมั่นพุ่งแตะระดับ 102.4 ในช่วงต้นเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี แต่เป็นการสำรวจก่อนที่การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความล้มเหลวในเดือนดังกล่าว

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ค. สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนเม.ย.

การใช้จ่ายของผู้บริโภคได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อรถยนต์ รวมทั้งการใช้จ่ายในร้านอาหาร และค่าที่พักในโรงแรม

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐยังเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ชะลอตัวสู่ระดับ 0.2% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ