ดาวโจนส์ทรุดกว่า 400 จุด ผวาบอนด์ยีลด์ส่งสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 14, 2019 21:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ทรุดตัวกว่า 400 จุดในวันนี้ หลังจากที่ตลาดพันธบัตรสหรัฐส่งสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย

ณ เวลา 20.52 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,865.47 จุด ลบ 414.44 จุด หรือ 1.58%

ดัชนีดาวโจนส์ทรุดตัวลง สวนทางวานนี้ที่พุ่งขึ้น 372.54 จุด หรือ 1.44% หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศชะลอการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และยังช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นของบริษัทที่เข้าไปลงทุนจำนวนมากในจีน เช่น แอปเปิล และอินเทล

หุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลงนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นซิตี้ กรุ๊ปร่วงลงมากกว่า 3%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve ในวันนี้ ซึ่งเป็นภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอยู่สูงกว่าพันธบัตรระยะยาว โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปีดีดตัวเหนืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ซึ่งจะบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ณ เวลา 17.48 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี อยู่ที่ระดับ 1.630% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 1.623%

นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปีดิ่งลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในวันนี้ ใกล้หลุดระดับ 2% ขณะที่นักลงทุนพากันเข้าซื้อพันธบัตรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

ณ เวลา 19.08 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 2.034% หลังจากดิ่งลงแตะ 2.015% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

ก่อนหน้านี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 2.0889% หลังจากที่อังกฤษทำประชามติในเดือนมิ.ย.2559 เพื่อแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป

ทั้งนี้ การเกิดภาวะ inversion ของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเป็นการส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มเผชิญภาวะถดถอย

นักลงทุนจับตาค่าสเปรดระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี เนื่องจากการเกิดภาวะ inversion ของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรดังกล่าว ได้บ่งชี้ภาวะถดถอยในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา

ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve ครั้งล่าสุดในเดือนธ.ค.2548 โดยเกิดขึ้น 2 ปีก่อนที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอันเนื่องจากวิกฤตการเงิน

ผลการสำรวจพบว่า หลังจากตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve โดยเฉลี่ยราว 22 เดือน เศรษฐกิจสหรัฐก็จะเกิดภาวะถดถอยตามมา

ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังจับตาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

นายวิลเบอร์ รอสส์ รมว.พาณิชย์สหรัฐ กล่าวว่า การที่สหรัฐตัดสินใจชะลอการขึ้นภาษีต่อสินค้าบางรายการที่นำเข้าจากจีน ไม่ได้มีสาเหตุจากการที่สหรัฐยอมอ่อนข้อ หรือมีการแลกเปลี่ยนทางการค้ากับจีน แต่เป็นเพราะรัฐบาลต้องการช่วยเหลือผู้บริโภคชาวอเมริกัน

"ไม่มีใครอยากทำลายบรรยากาศในช่วงคริสต์มาส และสิ่งนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องยื่นหมูยื่นแมวในการเจรจาทางการค้ากับจีน" นายรอสส์กล่าว

นอกจากนี้ นายรอสส์ยังกล่าวว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ตัดสินใจชะลอการขึ้นภาษีสินค้าจีนในครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อต้องการสกัดการดิ่งลงของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทแต่อย่างใด

ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาตัดสินใจชะลอการขึ้นภาษีสินค้าจีนออกไปเป็นวันที่ 15 ธ.ค. จากเดิมที่มีกำหนดในวันที่ 1 ก.ย. เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยของชาวสหรัฐในช่วงเทศกาลคริสต์มาส

ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์ขู่ว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีอีก 10% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย.

ทั้งนี้ สินค้าที่ได้รับการชะลอการจัดเก็บภาษี ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ คอนโซลวิดีโอเกม ของเล่น จอคอมพิวเตอร์ รองเท้า และเสื้อผ้า

นอกจากนี้ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ยังได้ถอดสินค้าบางรายการออกจากบัญชีสินค้าของจีนที่จะถูกเรียกเก็บภาษีครั้งใหม่

USTR ระบุถึงปัจจัยด้านสุขภาพ, ความปลอดภัย และความมั่นคงแห่งชาติ ในการถอดสินค้าจากบัญชีรายชื่อดังกล่าว โดยสินค้าเหล่านี้จะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีก 10%

การประกาศดังกล่าวของ USTR มีขึ้น ก่อนที่เจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนมีกำหนดเจรจาการค้าในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า

ราคาหุ้นเมซีส์ อิงค์ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ทรุดตัวลง 15% หลังรายงานตัวเลขกำไรต่ำกว่าคาดในไตรมาส 2

นอกจากนี้ เมซีส์ยังได้ปรับลดคาดการณ์กำไรในปีนี้ โดยระบุว่าจะอยู่ในช่วง 2.85-3.05 ดอลลาร์/หุ้น ลดลงจากเดิมที่ระดับ 3.05-3.25 ดอลลาร์/หุ้น

ทั้งนี้ เมซีส์เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไร 28 เซนต์/หุ้นในไตรมาส 2 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 45 เซนต์/หุ้น

อย่างไรก็ดี รายได้อยู่ที่ระดับ 5.546 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.542 พันล้านดอลลาร์

เมซีส์ยังระบุว่ายอดขายเพิ่มขึ้น 0.3% เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.4%

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากร่วงลง 1.1% ในเดือนมิ.ย.

ดัชนีราคานำเข้าได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวของราคาน้ำมัน แม้ว่าราคาสินค้าทุน และรถยนต์ปรับตัวลง

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าดัชนีราคานำเข้าจะทรงตัวในเดือนก.ค.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคานำเข้าลดลง 1.8% ในเดือนก.ค. หลังจากดิ่งลง 2.0% ในเดือนมิ.ย.

ส่วนดัชนีราคานำเข้าพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน ทรงตัวในเดือนก.ค. หลังจากลดลง 0.2% ในเดือนมิ.ย.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคานำเข้าพื้นฐานลดลง 1.5% ในเดือนก.ค.

นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐยังเปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับตัวลงติดต่อกัน 2 เดือน

เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคาส่งออกลดลง 0.9% หลังจากดิ่งลง 1.6% ในเดือนมิ.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ