ดาวโจนส์ไหลไม่หยุด ล่าสุดทรุดกว่า 500 จุด ผวาสงครามการค้าสหรัฐ-จีนรุนแรงขึ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday August 24, 2019 00:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดทรุดตัวลงกว่า 500 จุด หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สั่งให้บริษัทสหรัฐรีบถอนตัวออกจากจีนโดยทันที เพื่อกลับมาผลิตสินค้าในสหรัฐ

นอกจากนี้ บรรยากาศในตลาดยังถูกกดดันจากการที่จีนประกาศตอบโต้สหรัฐในวันนี้ ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ รวมทั้งรถยนต์สหรัฐ

ณ เวลา 00.04 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,712.63 จุด ลบ 539.61 จุด หรือ 2.06%

ราคาหุ้นแอปเปิลดิ่งลง 4% ในวันนี้ เนื่องจากบริษัทมีฐานผลิต iPhone ในจีน

ตลาดพันธบัตรสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve ในวันนี้ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ดีดตัวขึ้นสูงกว่าพันธบัตรอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ครั้งนี้นับเป็นการเกิด inverted yield curve เป็นครั้งที่ 4 ในรอบไม่ถึง 2 สัปดาห์ ขณะที่นักลงทุนวิตกว่า การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว

ณ เวลา 00.25 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี อยู่ที่ระดับ 1.511% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 1.508%

ทั้งนี้ จีนได้ประกาศเก็บภาษีครั้งใหม่ต่อสหรัฐในวันนี้ ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ก็ได้ตอบโต้ด้วยการสั่งให้บริษัทสหรัฐถอนตัวออกจากจีน และเปรียบประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นศัตรูของสหรัฐ

จีนประกาศเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ รวมทั้งเดินหน้าเก็บภาษีต่อรถยนต์สหรัฐ

ทั้งนี้ สภาแห่งรัฐของจีน ซึ่งเป็นคณะรัฐมนตรีจีน แถลงว่า จีนจะเรียกเก็บภาษี 5-10% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในการเก็บภาษี 2 รอบ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย. และ 15 ธ.ค.

นอกจากนี้ จีนจะเรียกเก็บภาษี 25% ต่อรถยนต์นำเข้าจากสหรัฐ และเก็บภาษี 5% ต่อชิ้นส่วนรถยนต์สหรัฐ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 ธ.ค.

ทางด้านปธน.ทรัมป์ได้ตอบโต้จีน ด้วยการทวีตข้อความระบุว่า เขาได้สั่งให้บริษัทสหรัฐรีบถอนตัวออกจากจีนโดยทันที เพื่อหาแหล่งผลิตใหม่ โดยให้กลับมาผลิตสินค้าในสหรัฐ

"ประเทศของเราได้สูญเสียเงินหลายล้านล้านดอลลาร์แก่จีนเป็นเวลาหลายปี พวกเขาได้ปล้นทรัพย์สินทางปัญญาของเราคิดเป็นเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ต่อปี และพวกเขาต้องการทำสิ่งนี้ต่อไป แต่ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น เราไม่จำเป็นต้องมีจีน และจะดีกว่า ถ้าไม่มีจีน โดยเงินจำนวนมากที่จีนขโมยไปจากสหรัฐปีแล้วปีเล่า เป็นเวลาหลายทศวรรษ จะต้องยุติลง"

"ดังนั้น ผมขอสั่งให้บริษัทอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ของเราถอนตัวจากจีนโดยทันที และให้เริ่มต้นหาแหล่งผลิตสินค้าใหม่ ซึ่งรวมถึงนำบริษัทของคุณกลับบ้าน และผลิตสินค้าในสหรัฐ"

"ผมจะตอบโต้ต่อการเรียกเก็บภาษีของจีนในบ่ายวันนี้ นี่เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของสหรัฐ"

"นอกจากนี้ ผมยังได้สั่งให้บริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์ทั้งหมดของสหรัฐ ซึ่งรวมถึง FedEx, UPS, อเมซอน และสำนักงานไปรษณีย์สหรัฐ ให้ค้นหา และปฏิเสธการส่งยา Fentanyl (ยาบรรเทาอาการปวด และมีความแรง 50-100 เท่าของมอร์ฟีน) จากประเทศจีน หรือจากประเทศอื่นๆ โดยยา Fentanyl ฆ่าชาวอเมริกัน 100,000 คนต่อปี ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเคยบอกว่าจะระงับการส่งยานี้เข้ามายังสหรัฐ แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น"

"เศรษฐกิจของเราใหญ่กว่าของจีนมาก หลังจากที่เรามีการขยายตัวในช่วง 2 ปีครึ่งปีที่ผ่านมา และเราจะรักษาให้เป็นเช่นนี้ต่อไป" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ

นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังได้ทวีตข้อความว่า "คำถามเดียวของผมคือว่า ใครเป็นศัตรูที่ใหญ่กว่าของเรา นายเจอโรม พาวเวล หรือท่านประธานสี จิ้นผิง"

ขณะเดียวกัน นักลงทุนมีความผิดหวัง หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้ส่งสัญญาณทิศทางอัตราดอกเบี้ยในการกล่าวสุนทรพจน์ในวันนี้

ทั้งนี้ นายพาวเวลกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิ่ง ในวันนี้ โดยย้ำว่า เฟดจะดำเนินการเพื่อให้เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวต่อไป ขณะที่ยอมรับว่า การทำสงครามการค้า และปัจจัยอื่นๆ กำลังทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง

อย่างไรก็ดี นายพาวเวลไม่ได้ส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในการกล่าวสุนทรพจน์วันนี้ โดยเขากล่าวแต่เพียงว่า เฟดจะดำเนินการอย่างเหมาะสมเพื่อรักษาการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ

นอกจากนี้ นายพาวเวลไม่ได้ระบุถึงการเกิดภาวะ inverted yield curve ในสุนทรพจน์ของเขา รวมทั้งไม่ได้ระบุถึงการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ

นายพาวเวลกล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐโดยรวมยังคงปรับตัวได้ดี แม้เผชิญความท้าทายจากปัจจัยหลายประการ โดยแนวโน้มเศรษฐกิจโลกได้ย่ำแย่ลงนับตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ขณะที่ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าได้ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และทำให้ภาคการผลิต และการใช้จ่ายทุนได้อ่อนแอลงในสหรัฐ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ