ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (2 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนพากันเข้าซื้อหุ้นกลุ่มปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลก หลังจากจีนและสหรัฐได้เริ่มบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเงินปอนด์ที่ร่วงลงช่วยหนุนตลาดหุ้นอังกฤษพุ่งขึ้น
ดัชนี Stoxx Europe 600 บวก 0.32% ปิดที่ 380.69 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,493.04 จุด เพิ่มขึ้น 12.56 จุด หรือ +0.23%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,953.78 จุด เพิ่มขึ้น 14.50 จุด หรือ +0.12% และ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,281.94 จุด เพิ่มขึ้น 74.76 จุด หรือ +1.04%
ตลาดได้แรงหนุน เนื่องจากนักลงทุนพากันเข้าซื้อหุ้นกลุ่มปลอดภัย อาทิ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม, กลุ่มเฮลธ์แคร์ และ กลุ่มสาธารณูปโภค ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่นักลงทุนปรับตัวรับสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น เมื่อสหรัฐเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 15% เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และ จีนได้เริ่มเก็บภาษี 5% จากการนำเข้าน้ำมันดิบของสหรัฐด้วยเช่นกัน
ตลาดหุ้นลอนดอนพุ่งขึ้นนำตลาดหุ้นยุโรป เนื่องจากหุ้นกลุ่มส่งออกได้แรงหนุนจากการที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงจากความวิตกเกี่ยวกับการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจจะผ่อนคลายนโยบายการเงินลงในสัปดาห์หน้า หลังจากการเปิดเผยข้อมูลกิจกรรมการผลิตของเยอรมนีหดตัวลงเป็นเดือนที่ 7 ในเดือนส.ค.
ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของเยอรมนี ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแตะระดับ 43.5 ในเดือนส.ค. จากระดับ 43.2 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปี
อย่างไรก็ตาม ดัชนี PMI ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคการผลิตของเยอรมนียังคงเผชิญภาวะหดตัว โดยได้รับปัจจัยกดดันจากการร่วงลงของยอดคำสั่งซื้อใหม่ ขณะที่บรรดาผู้ผลิตได้ปรับลดการผลิตและลดตำแหน่งงาน
หุ้นบริษัทตลาดหลักทรัพย์เยอรมนี บวก 2.58% และ หุ้นมิวนิค รี ปรับตัวขึ้น 1.19%
หุ้นซาโนฟีของฝรั่งเศส บวก 1.80% และ หุ้นเพอร์นอด ริชาร์ด เพิ่มขึ้น 2.02%
หุ้นแอสตราเซเนกาของอังกฤษ พุ่งขึ้น 2.94% และ หุ้นเอ็กพีเรียน พุ่งขึ้น 3.02%