ดาวโจนส์เปิดตลาดวูบกว่า 200 จุด นักลงทุนหวั่นสหรัฐ-จีนเจรจาการค้าล่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 8, 2019 20:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์เปิดตลาดดิ่งลงกว่า 200 จุดในวันนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในสัปดาห์นี้

ณ เวลา 20.32 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,232.72 จุด ลบ 245.30 จุด หรือ 0.93%

หุ้นกลุ่มการเงินทรุดตัวลงกว่า 1% โดยเป็นกลุ่มที่ปรับตัวลงมากที่สุดในวันนี้

มีการคาดการณ์กันว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในสัปดาห์นี้จะไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมที่ไม่ได้ส่งสัญญาณบวกต่อการเจรจา

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ระดับรัฐมนตรีช่วยของสหรัฐและจีนได้เริ่มต้นการเจรจาการค้ารอบใหม่เมื่อวานนี้ เพื่อปูทางสำหรับการเจรจาการค้าระดับรัฐมนตรีที่จะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีนี้

เจ้าหน้าที่เจรจาการค้าของจีนราว 30 คน นำโดยนายเหลียว หมิง รมช.คลังของจีน ได้เดินทางมายังสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เมื่อวานนี้ เพื่อทำการเจรจาการค้าเป็นเวลา 2 วัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะเจรจากันเกี่ยวกับการบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี, การขโมยสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา, การตั้งกำแพงการค้าที่ไม่ใช่ภาษี รวมทั้งประเด็นในด้านการเกษตรและภาคบริการ และการบังคับใช้มาตรการต่างๆตามข้อตกลง

อย่างไรก็ดี การเจรจาของเจ้าหน้าที่การค้าจากทั้งสองฝ่ายเมื่อวานนี้เป็นไปอย่างตึงเครียด โดยไม่มีฝ่ายใดส่งสัญญาณการประนีประนอม

สหรัฐและจีนจะเจรจาการค้าในระดับรัฐมนตรีในวันที่ 10-11 ต.ค.นี้ ที่กรุงวอชิงตัน โดยนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน จะเป็นผู้นำคณะเจรจาการค้าของจีน ขณะที่ฝ่ายสหรัฐนำโดยนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR)

สื่อรายงานว่า เจ้าหน้าที่จีนไม่ต้องการทำข้อตกลงการค้าในวงกว้างตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ต้องการ โดยนายหลิว เหอ กล่าวว่า ข้อเสนอของเขาต่อทางสหรัฐจะไม่รวมถึงคำมั่นสัญญาของรัฐบาลจีนในการปฏิรูปนโยบายอุตสาหกรรม หรือการให้เงินอุดหนุนของภาครัฐ

ทางด้านหนังสือพิมพ์เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์รายงานว่า จีนได้ลดระดับความสำคัญของการเจรจาการค้ากับสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งเป็นผู้นำคณะเจรจาการค้าของจีน จะไม่มีตำแหน่ง"ผู้แทนพิเศษ"แต่อย่างใด ซึ่งบ่งชี้ว่า นายหลิวไม่ได้เป็นตัวแทน หรือไม่ได้รับการมอบหมายเป็นพิเศษจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง

ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้ประกาศขึ้นบัญชีดำต่อบริษัทเทคโนโลยีของจีน 28 แห่ง โดยอ้างว่าบริษัทเหล่านี้มีส่วนในการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวมุสลิม ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในเขตปกครองตนเองซินเจียง

การประกาศดังกล่าวนับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขึ้นบัญชีดำบริษัทจีนด้วยเหตุผลด้านสิทธิมนุษยชน จากเดิมที่เคยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ อย่างที่ได้เคยทำกับบริษัทหัวเว่ย

แถลงการณ์ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า บริษัทเหล่านี้มีการข่มเหง คุมขังบุคคลตามอำเภอใจ และใช้เทคโนโลยีสอดส่องชาวอุยกูร์ ซึ่งสหรัฐมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ทั้งนี้ บริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำเหล่านี้จะไม่สามารถทำธุรกิจกับบริษัทสหรัฐได้ หากไม่ได้รับการอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐ โดยบริษัทรายใหญ่ที่ถูกขึ้นบัญชีดำรอบนี้ มีทั้งบริษัทผลิตกล้องวงจรปิดยักษ์ใหญ่อย่าง Hikvision และ Dahua Technology ไปจนถึงบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่าง SenseTime และ Megvii

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวบลูมเบิร์กยังรายงานว่า ทำเนียบขาวกำลังหารือเกี่ยวกับการปิดกั้นมิให้กองทุนบำนาญของรัฐบาลสหรัฐเข้าลงทุนในจีน

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 0.3% ในเดือนก.ย.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนส.ค.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI เพิ่มขึ้นเพียง 1.4% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2559 หลังจากเพิ่มขึ้น 1.8% ในเดือนส.ค.

ดัชนี PPI ได้รับผลกระทบจากการร่วงลงของราคาสินค้าและบริการ รวมทั้งราคาพลังงาน

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 17-18 ก.ย.ในวันพรุ่งนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมของเฟดในปลายเดือนนี้

ตลาดคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 29-30 ต.ค.นี้ หลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอในภาคการผลิตและภาคบริการของสหรัฐ โดยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน รวมทั้งการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาดในเดือนก.ย. แม้อัตราการว่างงานแตะระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี

นอกจากนี้ การเปิดเผยตัวเลขดัชนี PPI ที่ชะลอตัวในเดือนก.ย. ก็เป็นอีกปัจจัยที่หนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้

ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาสราว 81.8% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ