ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (14 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นออกมาท่ามกลางความวิตกว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวอย่างยาวนานโดยถูกกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 2.17% ปิดที่ 326.71 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 10,337.02 จุด ลดลง 205.64 จุด หรือ -1.95%, ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,273.13 จุด ลดลง 71.82 จุด หรือ -1.65% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,741.54 จุด ลดลง 162.51 จุด หรือ -2.75%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย. นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารของยูโรโซนที่ร่วงลงอย่างหนัก เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นออกมาจากความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจขาลงที่ยาวนานท่ามกลางผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ตลาดยังถูกกดดันจากความวิตกที่ว่า การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ที่เร็วเกินไปในบางประเทศจะส่งผลให้โรคโควิด-19 กลับมาระบาดรอบสอง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตือนว่าสหรัฐอาจจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า โรคโควิด-19 อาจจะไม่หายไปจากโลกนี้
หุ้นกลุ่มค้าปลีก, อาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรม ปรับตัวลงตามกัน
หุ้นกลุ่มรถยนต์ที่อ่อนไหวต่อประเด็นการค้าปรับตัวลงด้วย หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐเปิดเผยว่า เขาผิดหวังอย่างมากกับความล้มเหลวของจีนในการควบคุมการแพ่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยระบุว่าโรคระบาดจะส่งผลกระทบต่อข้อตกลงการค้าระหว่างสหัรฐกับจีน
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มนี้จากความวิตกเกี่ยวกับหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลกระทบจากโรคระบาด และการระงับจ่ายเงินปันผล