ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (28 พ.ค.) โดยบวกขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการเปิดดำเนินการธุรกิจอีกครั้งหลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศต่างๆ รวมถึงการจัดตั้งกองทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของยูโรโซนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 1.64% ปิดที่ 355.47 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 11,781.13 จุด เพิ่มขึ้น 123.44 จุด หรือ +1.06%, ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,771.39 จุด เพิ่มขึ้น 82.65 จุด หรือ +1.76% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,218.79 จุด เพิ่มขึ้น 74.54 จุด หรือ +1.21%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 11 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนมีความหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังประเทศต่างๆ อัดฉีดเงินหลายล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และยังได้แรงหนุนจากบรรดาผู้ผลิตเวชภัณฑ์เร่งพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19
สหภาพยุโรป (EU) ได้เปิดเผยแผนกระตุ้นเศรษฐกิจยุโรปวงเงิน 7.50 แสนล้านยูโร (8.26 แสนล้านดอลลาร์) และคาดว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะขยายโครงการซื้อพันธบัตรด้วยวงเงินราว 5 แสนล้านยูโรในสัปดาห์หน้า
หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์นำตลาดพุ่งขึ้น โดยหุ้นแกล็กโซสมิธไคลน์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดของโลก ปรับตัวขึ้น 2.12% หลังจากเปิดเผยแผนที่จะผลิตสารเพิ่มประสิทธิภาพวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 จำนวน 1 พันล้านโดสในปีหน้า
หุ้นกลุ่มปลอดภัยอื่นๆ ปรับตัวขึ้นด้วย อาทิ หุ้นกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม, กลุ่มสาธารณูปโภค และกลุ่มสินค้าส่วนบุคคลและครัวเรือน
หุ้น Cineworld ผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ของอังกฤษ พุ่งขึ้นกว่า 21% หลังคาดว่าจะเปิดทำการโรงภาพยนตร์ทั้งหมดของบริษัทในเดือนก.ค. และบริษัทยังได้รับการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติม
บรรดานักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-จีน โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ เปิดเผยว่า เขาจะประกาศนโยบายฉบับใหม่ของสหรัฐที่จะดำเนินการกับจีนในวันศุกร์นี้ หลังจากที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) มีมติเห็นชอบให้มีการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ในฮ่องกง