ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (11 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอลง และมีความกังวลว่าโรคโควิด-19 จะกลับมาระบาดรอบสอง หลังประเทศต่างๆ ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เพื่อเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 4.10% ปิดที่ 353.07 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,815.60 จุด ร่วงลง 237.81 จุด หรือ -4.71%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 11,970.29 จุด ร่วงลง 559.87 จุด หรือ -4.47% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,076.70 จุด ร่วงลง 252.43 จุด หรือ -3.99%
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงหนักที่สุดในรอบกว่า 11 สัปดาห์ และปรับตัวลงเป็นวันที่ 4 ติดต่อกันแล้ว โดยหุ้นกลุ่มผลิตรถยนต์นำตลาดร่วงลง
ตลาดถูกกดดัน หลังจากเฟดคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวลง 6.5% ในปีนี้ และนักลงทุนยังวิตกว่า โรคโควิด-19 อาจเกิดการระบาดรอบใหม่ในสหรัฐ หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐพุ่งขึ้นทะลุ 2 ล้านรายแล้ว
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังร่วงลงตามตลาดหุ้นสหรัฐซึ่งเปิดตลาดดิ่งลงอย่างหนักด้วย
หุ้นเฟียต ไครสเลอร์ ร่วงลงกว่า 7% และหุ้นเปอโยต์ ร่วงลง 10% หลังมีรายงานว่า สองบริษัทจะถูกตรวจสอบกรณีต่อต้านการผูกขาดตลาดในสหภาพยุโรป (EU) เกี่ยวกับแผนการควบรวมกิจการกันมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นเรโนลต์ ร่วงกว่า 14% หลังประธานบริษัทเปิดเผยว่า บริษัทไม่ได้กำลังพิจารณาการโอนกิจการไปเป็นของรัฐบาล หลังจากที่เรโนลต์ได้รับเงินกู้ 5 พันล้านยูโร (5.7 พันล้านดอลลาร์) ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลฝรั่งเศส
หุ้นกลุ่มเดินทางและสันทนาการร่วงลง โดยถูกกดดันจากแนวโน้มที่โรคโควิด-19 จะแพร่ระบาดรอบสอง โดยหุ้น Cineworld ผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ของอังกฤษ ร่วงหนักสุดกว่า 17%
หุ้นลุฟท์ฮันซา ร่วงกว่า 9% หลังเปิดเผยว่าเตรียมที่จะปลดพนักงาน 26,000 คน หลังธุรกิจได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19