ดาวโจนส์ลดช่วงบวก หลัง"พาวเวล"เตือนเศรษฐกิจสหรัฐเผชิญความไม่แน่นอน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 16, 2020 21:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ลดช่วงบวก หลังพุ่งกว่า 700 จุดในช่วงแรก ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวเตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ณ เวลา 21.54 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,142.91 จุด บวก 379.75 จุด หรือ 1.47%

นายพาวเวลกล่าวเตือนในวันนี้ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน ขณะที่ธุรกิจขนาดย่อม และผู้ที่มีรายได้ระดับต่ำ รวมทั้งชาวอเมริกันซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย เป็นกลุ่มที่เผชิญความเสี่ยงมากที่สุด

ทั้งนี้ นายพาวเวลกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้ โดยเขาได้กล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้ ก่อนที่จะกล่าวต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันพรุ่งนี้

"การผลิตและการจ้างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และยังคงมีความไม่แน่นอนอย่างมากเกี่ยวกับกำหนดเวลาและความแข็งแกร่งของการฟื้นตัว ซึ่งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่มาจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความคืบหน้าในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยการฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์จะยังไม่เกิดขึ้น จนกว่าประชาชนจะมีความเชื่อมั่นว่าไวรัสดังกล่าวได้ถูกควบคุมแล้ว" นายพาวเวลกล่าว

"การแพร่ระบาดของไวรัสกำลังสร้างความเสี่ยงต่อธุรกิจขนาดย่อม ซึ่งหากธุรกิจขนาดกลางหรือขนาดย่อมล้มละลายไปเนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าเกินไป เราก็จะสูญเสียมากกว่าธุรกิจดังกล่าว เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้ถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจ" นายพาวเวลกล่าว

นอกจากนี้ นายพาวเวลยังแสดงความกังวลต่อผู้ที่มีรายได้ต่ำ ซึ่งจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการทรุดตัวของการจ้างงาน โดยชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน และเชื้อสายละตินอเมริกา รวมทั้งกลุ่มสตรี จะได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มอื่น

นายพาวเวลกล่าวย้ำว่า เฟดจะยังคงใช้เครื่องมือทุกอย่างเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ อย่างไรก็ดี เขาไม่ได้ระบุว่าเฟดจะดำเนินมาตรการใดในอนาคต

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 700 จุดในช่วงแรก ขานรับข่าวดีจำนวนมากที่เข้ามาในตลาด เช่น ยอดค้าปลีกที่พุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ของสหรัฐ, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมทั้งความคืบหน้าในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 17.7% ในเดือนพ.ค. ทำสถิติทะยานขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 8.0% หลังจากดิ่งลง 14.7% ในเดือนเม.ย.

ยอดค้าปลีกแตะระดับสูงสุดก่อนหน้านี้ที่ระดับ 6.7% ในเดือนต.ค.2544

ยอดค้าปลีกที่พุ่งขึ้นในเดือนพ.ค. ได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค หลังจากที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์

ขณะเดียวกัน คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเตรียมแผนการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน วงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19

แหล่งข่าวระบุว่า กระทรวงคมนาคมของสหรัฐกำลังเตรียมแผนการดังกล่าวในเบื้องต้น โดยจะมีการนำเม็ดเงินส่วนใหญ่ไปใช้ในการก่อสร้างถนนและสะพาน นอกจากนี้ จะมีการกันเม็ดเงินส่วนหนึ่งสำหรับโครงการ 5G และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในชนบท

นอกจากนี้ เฟดประกาศซื้อหุ้นกู้ภาคเอกชนวงเงิน 7.5 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในตลาด และจัดหาสินเชื่อให้กับบริษัทขนาดใหญ่ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นายคริส วิตตี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการแพทย์ของอังกฤษ กล่าวว่า ผลการใช้ยา dexamethasone ซึ่งเป็นยาสเตียรอยด์ ในการรักษาชีวิตของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง ถือเป็นผลการทดลองที่มีความสำคัญมากที่สุดในขณะนี้

ทั้งนี้ มีรายงานว่า การใช้ยา dexamethasone สามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่รักษาตัวในโรงพยาบาลได้ถึง 1 ใน 3

"ยาดังกล่าวสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญสำหรับผู้ที่มีปัญหาทางระบบทางเดินหายใจ หรือขาดออกซิเจน และจะช่วยรักษาชีวิตของผู้ป่วยทั่วโลก" นายวิตตีกล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ