ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าผันผวน หลังจากทางการญี่ปุ่นเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2 หดตัวรุนแรงสุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่จีนและสหรัฐเลื่อนการเจรจาเพื่อทบทวนข้อตกลงการค้าเฟสแรกที่กำหนดไว้ในวันเสาร์ที่ 15 ส.ค. โดยระบุว่ามีความขัดแย้งในเรื่องกำหนดเวลา และต้องการให้เวลาจีนในการซื้อสินค้าสหรัฐเพิ่มมากขึ้น
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 23,145.28 จุด ลดลง 144.08 จุด, -0.62% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 25,505.82 จุด เพิ่มขึ้น 322.81 จุด, +1.28% ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดภาคเช้าที่ 1,559.78 จุด ลดลง 4.81 จุด, -0.31%
ทั้งนี้ สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยในรายงานเบื้องต้นวันนี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2563 หดตัวลง 27.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลหลังจากมีรายงานข่าวว่า สหรัฐและจีนได้ยกเลิกแผนการที่จะประชุมทางไกลในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อประเมินความคืบหน้าของข้อตกลงการค้าเฟสแรก โดยรายงานข่าวระบุว่า การประชุมดังกล่าวระหว่างนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีนและนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าของสหรัฐนั้น ได้ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
สำหรับปัจจัยในด้านบวกวันนี้ ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้อัดฉีดเงินสดเข้าสู่ระบบการเงินผ่านการดำเนินการทางตลาด (Open Market Operations: OMO ในวันนี้ เพื่อรักษาสภาพคล่องในตลาด
แบงก์ชาติจีนได้อัดฉีดเงิน 7 แสนล้านหยวน (ประมาณ 1.009 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) เข้าสู่ระบบการเงินในวันนี้ ผ่านทางโครงการเงินกู้ระยะกลาง (MLF) โดยโครงการดังกล่าวมีอายุการไถ่ถอนในระยะเวลา 1 ปี ที่อัตราดอกเบี้ย 2.95%
ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนได้เปิดตัวโครงการ MLF ในปี 2557 เพื่อช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์และธนาคารภายใต้นโยบายของรัฐบาลในการรักษาสภาพคล่อง ด้วยการอนุญาตให้ธนาคารเหล่านี้สามารถกู้ยืมเงินจากธนาคารกลางโดยใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน