ดาวโจนส์พุ่งต่อเนื่อง ล่าสุดทะยานกว่า 500 จุด ตลาดฟื้นหลังดิ่งหนักวานนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 28, 2021 23:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดทะยานกว่า 500 จุด โดยตลาดได้แรงหนุนจากตัวเลขคนว่างงานในสหรัฐที่ดีกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว แม้มีการเปิดเผยว่าเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 3.5% ในปี 2563 ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 74 ปี

ณ เวลา 23.10 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 30,867.97 จุด บวก 564.80 จุด หรือ 1.86%

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 67,000 ราย สู่ระดับ 847,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 875,000 ราย จากระดับ 914,000 รายที่มีการรายงานในสัปดาห์ก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องลดลง 203,000 ราย สู่ระดับ 4.77 ล้านราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 5.05 ล้านราย

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4/2563 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 4.0% เมื่อเทียบรายไตรมาส และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.3%

อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2562 เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 2.5% ในไตรมาส 4/2563

นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 3.5% ในปี 2563 ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2489

ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 33.4% ในไตรมาส 3/2563 ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่สหรัฐเริ่มมีการรวบรวมข้อมูลในปี 2490 หรือกว่า 70 ปี หลังจากที่หดตัว 31.4% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงเป็นประวัติการณ์ และหดตัว 5% ในไตรมาส 1 ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากมีการหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน

สหรัฐมีการขยายตัวสูงสุดก่อนหน้านี้ที่ระดับ 16.7% โดยทำไว้ในไตรมาสแรกของปี 2493

การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 4/2563 ได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของการส่งออก และการใช้จ่ายของผู้บริโภค แม้ว่าการใช้จ่ายในภาครัฐปรับตัวลง

ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 600 จุดเมื่อคืนนี้ ทำสถิติทรุดตัวลงมากที่สุดภายในวันเดียวในรอบ 3 เดือน เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้ประกาศมาตรการใหม่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้เฟดมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นโบอิ้ง หลังเปิดเผยตัวเลขขาดทุนติดต่อกัน 5 ไตรมาส

วอลุ่มการซื้อขายพุ่งขึ้นสู่ระดับ 2.37 หมื่นล้านหุ้นวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2550 โดยได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อของนักลงทุนรายย่อยที่เข้าซื้อหุ้น GameStop ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายวิดีโอเกมชื่อดังในสหรัฐ

ทำเนียบขาวประกาศจับตาภาวะผันผวนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ หลังจากที่ราคาหุ้น GameStop พุ่งขึ้นถึง 1,700% นับตั้งแต่ต้นเดือนนี้

ทั้งนี้ ทีมเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งรวมถึงนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ซึ่งได้เข้ารับตำแหน่งเป็นวันแรกเมื่อวันพุธ ระบุว่า รัฐบาลกำลังจับตาสถานการณ์ดังกล่าว

นายวิลเลียม กาลวิน เลขาธิการรัฐแมสซาชูเซทส์ เรียกร้องให้ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) สั่งระงับการซื้อขายหุ้น GameStop เป็นเวลา 30 วัน เพื่อลดความผันผวนในตลาด

ราคาหุ้น GameStop มีการซื้อขายที่ระดับ 2.80 ดอลลาร์/หุ้นในเดือนเม.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งในขณะนั้น บริษัทประกาศว่าจะปิดสาขามากกว่า 300 สาขา ท่ามกลางปัญหาหนี้สินจำนวนมากที่บริษัทเผชิญอยู่ แต่ ณ ขณะปิดตลาดวานนี้ ราคาหุ้นพุ่งขึ้นแตะ 347.51 ดอลลาร์/หุ้น

ปรากฎการณ์ของหุ้น GameStop ถือเป็น talk of the town โดยหุ้นดังกล่าวได้พุ่งขึ้นกว่า 130% ในการซื้อขายวานนี้ และมากกว่า 400% ในสัปดาห์นี้ และถูกมองกันว่าเป็นการรวมตัวกันของนักลงทุนรายย่อยของสหรัฐเพื่อสั่งสอนกองทุนเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ที่มักเก็งกำไรด้วยการเทขายหุ้นในตลาด

ทั้งนี้ กลุ่มนักลงทุนใน WallStreetBets ซึ่งเป็นบอร์ดย่อยใน Reddit ซึ่งเป็นเว็บบอร์ดที่มีสมาชิกกว่า 4 ล้านราย และเป็นแหล่งที่นักลงทุนรายย่อยมักเข้าสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการซื้อขายหุ้นในตลาด ได้เล็งเป้าหมายที่จะผลักดันราคาหุ้น GameStop ให้สูงขึ้นเพื่อกดดันให้เฮดจ์ฟันด์ต้องกลับเข้าซื้อคืนหุ้นดังกล่าวเพื่อตัดขาดทุน หลังจากที่ได้ทำชอร์ตเซลก่อนหน้านี้ เนื่องจากคาดการณ์ว่า GameStop จะต้องปิดกิจการในไม่ช้า

การดำเนินการดังกล่าวของนักลงทุนรายย่อยทำให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ประสบภาวะขาดทุนจำนวนมาก

อย่างไรก็ดี การทะยานขึ้นอย่างผิดปกติของราคาหุ้น GameStop ได้สร้างความวิตกเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และกำลังกดดันบรรยากาศการซื้อขายในตลาด

ดัชนีความผันผวน CBOE หรือ CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาด พุ่งขึ้น 62% เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการทะยานขึ้นมากที่สุดในรอบ 2 ปี สู่ระดับ 37.32 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2563

ดัชนี VIX เคยพุ่งขึ้นสูงถึง 82.69 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในช่วงที่นักลงทุนแห่เทขายหุ้น ท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างหนักของไวรัสโควิด-19 ในปีที่แล้ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ