ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดร่วง 620.74 จุด วิตกวัคซีนจอห์นสัน,ปั่นหุ้น GameStop ฉุดตลาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday January 30, 2021 06:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 600 จุดเมื่อคืนนี้ (29 ม.ค.) และร่วงลงมากที่สุดในรอบสัปดาห์นี้นับตั้งแต่เดือนต.ค. 2563 โดยตลาดถูกกดดันจากรายงานผลการทดลองประสิทธิภาพวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ที่น่าผิดหวังจากบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) และภาวะผันผวนในตลาดที่เกิดจากการปั่นหุ้น GameStop ซึ่งเป็นหุ้นร้านจำหน่ายวิดีโอเกมชื่อดังในสหรัฐ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 29,982.62 จุด ร่วงลง 620.74 จุด หรือ -2.03%, ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 3,714.24 จุด ร่วงลง 73.14 จุด หรือ -1.93% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,070.69 จุด ร่วงลง 266.46 จุด หรือ -2.00%

ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีทั้ง 3 ตัวร่วงลงรายสัปดาห์รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สิ้นเดือนต.ค. 2563 โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วง 3.28%, S&P500 ร่วง 3.31% และดัชนี Nasdaq ร่วง 3.49% และทั้งเดือนม.ค.นั้น ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 2.04%, ดัชนี S&P500 ลดลง 1.12% ขณะที่ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 1.42%

ตลาดถูกกดดันจากหุ้น J&J ที่ร่วงลง 3.56% หลังเปิดเผยว่า วัคซีนของบริษัทโดสเดียวมีประสิทธิภาพ 72% ในการป้องกันโรคโควิด-19 ในสหรัฐ และต่ำกว่า 66% ในการทดลองทั่วโลก ซึ่งถือเป็นระดับประสิทธิภาพที่ต่ำกว่าวัคซีนของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค และโมเดอร์นาซึ่งอยู่ที่ราว 95% ในการป้องกันโรคโควิดเมื่อฉีด 2 โดส

หุ้นโมเดอร์นา พุ่งขึ้น 8.53% และหุ้นไฟเซอร์ เพิ่มขึ้น 0.11%

นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับการปั่นหุ้น GameStop ซึ่งปิดพุ่งขึ้น 67.87% หลังจากหุ้นร้านจำหน่ายวิดีโอเกมชื่อดังในสหรัฐแห่งนี้พุ่งขึ้นมากกว่า 1,000% แล้วนับตั้งแต่ต้นเดือนนี้ ซึ่งเป็นผลจากการรวมตัวกันของนักลงทุนรายย่อยของสหรัฐในการเข้าซื้อเพื่อดันราคาขึ้น โดยหวังจะสั่งสอนกองทุนเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ที่มักเก็งกำไรด้วยการขายชอร์ตในตลาด

ทั้งนี้ กลุ่มนักลงทุนใน WallStreetBets ซึ่งเป็นบอร์ดย่อยใน Reddit ซึ่งเป็นเว็บบอร์ดที่มีสมาชิกกว่า 4 ล้านราย และเป็นแหล่งที่นักลงทุนรายย่อยมักเข้าสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการซื้อขายหุ้นในตลาด ได้เล็งเป้าหมายที่จะผลักดันราคาหุ้น GameStop ให้สูงขึ้นเพื่อกดดันให้เฮดจ์ฟันด์ต้องกลับเข้าซื้อคืนหุ้นดังกล่าวเพื่อตัดขาดทุน หลังจากที่ได้ขายชอร์ตก่อนหน้านี้ โดยเก็งว่า GameStop จะต้องปิดกิจการในไม่ช้า

การกระทำดังกล่าวของนักลงทุนรายย่อยทำให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ประสบภาวะขาดทุนหลายพันล้านดอลลาร์

ขณะนี้ มีความวิตกกันว่า หากหุ้น GameStop ยังคงพุ่งขึ้นต่อไป ก็จะทำให้เฮดจ์ฟันด์ประสบภาวะขาดทุนอย่างหนัก ซึ่งจะส่งผลให้เฮดจ์ฟันด์เหล่านี้พากันเทขายหุ้นอื่นในตลาดเพื่อระดมเงินมาชดเชยผลขาดทุนจากการเก็งกำไรใน GameStop

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลกันว่า ปรากฎการณ์ GameStop เป็นการส่งสัญญาณถึงการเกิดภาวะฟองสบู่ในตลาด ซึ่งหากฟองสบู่แตก ก็จะสร้างความตื่นตระหนก และกระทบนักลงทุนรายย่อยอย่างหนัก

การซื้อขายหุ้น GameStop ดันวอลุ่มซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์คพุ่งแตะ 1.713 หมื่นล้านหุ้น สูงกว่าวอลุ่มเฉลี่ยในรอบ 20 วันทำการที่ผ่านมาที่ 1.526 หมื่นล้านหุ้น

คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) เปิดเผยว่า จะจับตาอย่างใกล้ชิดกับการซื้อขายหุ้นของบรรดาโบรกเกอร์และเทรดเดอร์ในโซเชียล มีเดีย

ดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P500 ปิดตลาดที่ระดับต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยในรอบ 50 วันซึ่งเป็นแนวรับทางเทคนิค

หุ้นแอปเปิล ร่วง 3.74% และหุ้นไมโครซอฟท์ ร่วง 2.92% โดยถูกกดดันจากแรงขายของเฮดจ์ฟันด์เพื่อชดเชยการขาดทุนจากการขายชอร์ตหุ้น GameStop เป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

สำหรับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐเมื่อคืนนี้ได้แก่ ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่บ่งชี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 79.0 ในเดือนม.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 79.2 จากระดับ 80.7 ในเดือนธ.ค., สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ลดลง 0.3% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 0.1%, กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐลดลง 0.2% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 2 หลังจากดิ่งลง 0.7% ในเดือนพ.ย., กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค. หลังจากทรงตัวในเดือนพ.ย. และกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีต้นทุนการจ้างงาน (ECI) ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนแรงงานที่กว้างที่สุด เพิ่มขึ้น 0.7% ในไตรมาส 4/2563 เมื่อเทียบรายไตรมาส สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในไตรมาส 3/2563


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ