ดาวโจนส์พักฐาน หลังพุ่งแรงวานนี้ บอนด์ยีลด์ยังกดดันตลาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday February 25, 2021 22:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์พักฐานในวันนี้ หลังจากพุ่งขึ้นอย่างมากวานนี้ ขณะที่บรรยากาศการซื้อขายยังคงถูกกดดันจากการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

ณ เวลา 21.52 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 31,926.42 จุด ลบ 35.44 จุด หรือ 0.11%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีต่างปรับตัวลงในวันนี้

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 400 จุดแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์วานนี้ โดยได้ปัจจัยบวกจากถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มธนาคาร อุตสาหกรรม และพลังงาน

อย่างไรก็ดี บรรยากาศการซื้อขายยังคงถูกกดดันในวันนี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวเหนือระดับ 1.46% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2563

มีความวิตกว่าการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะส่งผลกระทบต่อบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระดับต่ำ และจะลดความน่าดึงดูดของการลงทุนในหุ้น ทำให้นักลงทุนหันเข้าสู่ตลาดพันธบัตร

ทั้งนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รถยนต์ของสหรัฐ ซึ่งหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้น จะทำให้เม็ดเงินในการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดน้อยลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มมากขึ้น และบริษัทต่างๆจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน

อย่างไรก็ดี นายพาวเวลกล่าวว่า การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเกิดจากการคาดการณ์เงินเฟ้อและการขยายตัวที่สูงขึ้น รวมทั้งเป็นการส่งสัญญาณความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐ

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับ 730,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 28 พ.ย.2563 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 845,000 ราย

นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ปรับลดตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ สู่ระดับ 841,000 ราย จากเดิมรายงานที่ระดับ 861,000 ราย

ส่วนจำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องลดลง 101,000 ราย สู่ระดับ 4.42 ล้านราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 21 มี.ค.2563

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4/2563 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 4.1% โดยปรับตัวดีกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ระดับ 4.0%

การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 4/2563 ได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของการส่งออก และการใช้จ่ายของผู้บริโภค แม้ว่าการใช้จ่ายในภาครัฐปรับตัวลง

เมื่อพิจารณาทั้งปี 2563 เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 3.5% โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2489

นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 33.4% ในไตรมาส 3/2563 ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่สหรัฐเริ่มมีการรวบรวมข้อมูลในปี 2490 หรือกว่า 70 ปี จากการที่สหรัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และมีการเปิดเศรษฐกิจ หลังจากหดตัว 31.4% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงเป็นประวัติการณ์ และหดตัว 5% ในไตรมาส 1 ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากมีการหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะดีดตัวขึ้นในปีนี้ โดยได้ปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล, การฉีดวัคซีนโควิด-19 ในวงกว้าง และการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ส่งผลให้มีการคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 9% ในไตรมาส 1/2564 และจะขยายตัว 6% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ที่เศรษฐกิจมีการเติบโต 7.2% ในปี 2527

นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัว 6% ในปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 หลังมีความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนในวงกว้าง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ