ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 100 จุดในวันนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐ ซึ่งอาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพักฐานในวันนี้ หลังจากพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นวันที่ 6 วานนี้
ณ เวลา 21.05 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 32,838.75 จุด ลบ 114.71 จุด หรือ 0.35%
ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นเกือบ 200 จุดเมื่อคืนนี้ ทำสถิติปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 7 วัน ซึ่งเป็นช่วงขาขึ้นยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2563 โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ลงนามในร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงในวันนี้ หลังจากที่สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคานำเข้าดีดตัวขึ้นมากกว่าคาดในเดือนก.พ. ทำให้มีการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นในปีนี้
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันนี้ว่า ดัชนีราคานำเข้าปรับตัวขึ้นมากกว่าคาดในเดือนก.พ. โดยดีดตัวขึ้น 1.3% เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเพิ่มขึ้นเพียง 1.2%
เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคานำเข้าพุ่งขึ้น 3.0% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2555 หลังจากเพิ่มขึ้น 1.0% ในเดือนม.ค.
ดัชนีราคานำเข้าได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของราคาอาหาร, น้ำมัน และสินค้าโภคภัณฑ์
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่จะตามมาจากการที่สหรัฐใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดในวันนี้และพรุ่งนี้ เพื่อดูท่าทีของเฟดเกี่ยวกับแนวโน้มการดีดตัวขึ้นของเงินเฟ้อที่เป็นผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ รวมทั้งการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวยอมรับว่าอาจมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะเกิดเงินเฟ้อจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
"ใช่ มีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะเกิดเงินเฟ้อ ซึ่งเรากำลังจับตาดูอยู่ โดยการลงทุนทางเศรษฐกิจใดๆก็ตาม จะทำให้เกิดความเสี่ยงในบางด้านเสมอ แต่ความเสี่ยงที่ใหญ่กว่านั้นคือ การที่เราไม่ได้ทำในสิ่งที่เพียงพอเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ" นางเซซิเลีย เราส์ ประธานที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าว
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดยังได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกลดลงมากกว่าคาดในเดือนก.พ.
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกดิ่งลง 3.0% ในเดือนก.พ. หลังจากพุ่งขึ้น 7.6% ในเดือนม.ค.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกลดลงเพียง 0.5% ในเดือนก.พ.
การร่วงลงของยอดค้าปลีกได้รับผลกระทบจากภาวะอากาศที่หนาวจัดในสหรัฐ
ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร ดิ่งลง 3.5% ในเดือนก.พ. หลังจากพุ่งขึ้น 8.7% ในเดือนม.ค.