ดาวโจนส์ฟิวเจอร์นิ่ง จับตาผลประกอบการ,ประชุมเฟดสัปดาห์นี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 27, 2021 19:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวแคบในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้

ณ เวลา 19.43 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 3 จุด หรือ 0.01% สู่ระดับ 33,874 จุด

นักลงทุนจับตาบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากซึ่งจะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ โดยบริษัท 1 ใน 3 ในดัชนี S&P 500 จะประกาศผลประกอบการในไตรมาส 1 รวมทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยี ได้แก่ บริษัทแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, แอมะซอน และอัลฟาเบท

ขณะนี้ บริษัท 25% ในดัชนี S&P 500 ได้เสร็จสิ้นการรายงานผลประกอบการในไตรมาส 1 แล้ว โดยมีจำนวน 84% ที่รายงานตัวเลขกำไรเป็นบวก ขณะที่ 77% รายงานรายได้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 27-28 เม.ย. หลังเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 16-17 มี.ค. โดยระบุว่า เฟดจะยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไปจนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืน

เจพีมอร์แกน ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ ออกรายงานระบุว่า ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนในช่วง 100 วันแรกของการทำงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน สูงกว่าประธานาธิบดีทุกคนนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 หรือในช่วง 75 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เจพีมอร์แกนเปิดเผยว่า ช่วง 100 วันแรกในการทำงานของปธน.ไบเดน ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนสูงถึงเกือบ 25% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนต่ำกว่า 15% ในช่วง 100 วันแรกของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ดัชนี S&P 500 เคยทำสถิติสูงสุดเดิมก่อนหน้านี้ โดยให้ผลตอบแทนมากกว่า 20% ในช่วง 100 วันแรกของการทำงานของอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี

เจพีมอร์แกนระบุว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในช่วงการบริหารประเทศของปธน.ไบเดนได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐ ส่งผลให้ดัชนีพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

เจพีมอร์แกนยังเปิดเผยว่า ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่า 2 เท่าภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตเมื่อเทียบกับประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ขณะเดียวกัน เจพีมอร์แกนระบุว่า แผนการปรับขึ้นภาษีของปธน.ไบเดนจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดมากเท่าที่นักลงทุนมีความวิตกกังวลก่อนหน้านี้

ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2564 ในวันพฤหัสบดีนี้

ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 6.1% ในไตรมาส 1 ซึ่งจะเป็นตัวเลขการขยายตัวสูงเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ไตรมาส 3/2546 หลังจากที่เติบโต 4.3% ในไตรมาส 4/2563

นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 33.4% ในไตรมาส 3/2563 ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่สหรัฐเริ่มมีการรวบรวมข้อมูลในปี 2490 หรือมากกว่า 70 ปี จากการที่สหรัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และมีการเปิดเศรษฐกิจ หลังจากหดตัว 31.4% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงเป็นประวัติการณ์ และหดตัว 5% ในไตรมาส 1 ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากมีการหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัวมากกว่า 7.0% ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นการขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2527 หลังจากหดตัว 3.5% ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 74 ปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ