ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (18 มิ.ย.) โดยหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงานร่วงลง เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มดังกล่าวออกมาท่ามกลางความวิตกว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดที่ระดับ 452.05 จุด ลดลง 7.28 จุด หรือ -1.58%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,569.16 จุด ลดลง 97.10 จุด หรือ -1.46%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,448.04 จุด ลดลง 279.63 จุด หรือ -1.78% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,017.47 จุด ลดลง 135.96 จุด หรือ -1.90%
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงในวันศุกร์รุนแรงที่สุดในรอบ 5 สัปดาห์ และปรับตัวลง 1.2% ในรอบสัปดาห์นี้ โดยหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงานนำตลาดร่วงลง เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นดังกล่าวออกมา หลังจากที่นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์กล่าวว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในปีหน้า
นายบูลลาร์ดเปิดเผยว่า เขาเป็นกรรมการเฟด 1 ใน 7 รายที่คาดว่า เฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่สหภาพยุโรป (EU) ไม่สามารถเร่งให้บริษัทแอสตร้าเซนเนก้าทำการส่งมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้เร็วขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออัตราการฉีดวัคซีนใน EU
หุ้นกลุ่มธนาคาร ร่วงลงเกือบ 3% และหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 2.9%
หุ้นกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานปรับตัวลงมากที่สุดในสัปดาห์นี้ โดยร่วงลงเกือบ 8% เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการที่จีนดำเนินมาตรการเพื่อสกัดกั้นการปรับตัวขึ้นของราคาทองแดง