ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (13 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกับการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐที่พุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนมิ.ย. ซึ่งอาจกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดที่ระดับ 460.96 จุด ขยับขึ้นเพียง 0.13 จุด หรือ +0.03%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,558.47 จุด ลดลง 0.78 จุด หรือ -0.01%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,789.64 จุด ลดลง 0.87 จุด หรือ -0.01% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,124.72 จุด ลดลง 0.70 จุด หรือ -0.01%
ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลงเล็กน้อย แต่หุ้นกลุ่มธนาคารของอังกฤษ อาทิ บาร์เคลยส์, เอชเอสบีซี และลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป ปรับตัวขึ้นราว 1.1-1.8% หลังธนาคารกลางอังกฤษยกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผล
ตลาดถูกกดดันหลังกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ดีดตัวขึ้น 0.9% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2551 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.5% และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 5.4% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2551 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.0%
อย่างไรก็ตาม นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวในวันอังคารว่า ECB จะไม่ทำผิดพลาดเหมือนในอดีตที่ทำการคุมเข้มนโยบายการเงินเร็วเกินไป
บรรดานักลงทุนจะจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดซึ่งมีกำหนดกล่าวแถลงการณ์ต่อสภาคองเกรสในวันพุธและวันพฤหัสบดีนี้ รวมถึงการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในยุโรปในเดือนนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าผลกำไรไตรมาส 2 ของบริษัทในดัชนี STOXX 600 จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าจากปีที่แล้ว
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ ปรับตัวขึ้นตามราคาโลหะ หลังจีนเปิดเผยข้อมูลการค้าที่ดีเกินคาด ขณะที่หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับตัวลงจากแรงขายทำกำไรหลังพุ่งขึ้นเกือบ 1% เมื่อวันจันทร์