ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (19 ส.ค.) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรายวันรุนแรงที่สุดในรอบ 1 เดือน เนื่องจากการร่วงลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ถ่วงหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ ขณะที่นักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่เพิ่มขึ้นซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 467.24 จุด ลดลง 7.18 จุด หรือ -1.51%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,605.89 จุด ลดลง 164.22 จุด หรือ -2.43%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,765.81 จุด ลดลง 200.16 จุด หรือ -1.25% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,058.86 จุด ลดลง 110.46 จุดหรือ -1.54%
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ โดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง 4.2% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงวันเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. เนื่องจากถูกกดดันจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง
หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจากลูกค้าชาวจีนนั้น ร่วงลงอย่างหนัก อาทิ หุ้นหลุยส์ วิตตอง, หุ้นเคอริ่ง และหุ้นริชมอนต์ ซึ่งดิ่งลงราว 5.8-9.2% หลังจีนเปิดเผยแผนการที่จะจัดการกับบริษัทที่มีผลกำไรทางธุรกิจมากเกินไป และความไม่เท่าเทียมด้านความมั่งคั่ง
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงด้วย ขณะที่หุ้นกลุ่มเดินทางและสันทนาการ ร่วงลง 2.5%
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังปรับตัวลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมเมื่อวันพุธบ่งชี้ว่า เฟดอาจจะเริ่มปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรในมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ภายในปีนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้
บรรดานักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การประชุมประจำปีของธนาคารกลางที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิ่งของสหรัฐในปลายเดือนส.ค.นี้ ซึ่งนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดอาจส่งสัญญาณว่า เขาพร้อมที่จะเริ่มผ่อนคลายมาตรการสนับสนุนด้านการเงินหรือไม่