ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ (23 ก.ย.) ขานรับผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับ 2 ของจีน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 467.50 จุด เพิ่มขึ้น 4.30 จุด หรือ +0.93%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,643.97 จุด เพิ่มขึ้น 137.23 จุด หรือ +0.88% ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,701.98 จุด เพิ่มขึ้น 64.98 จุด หรือ + 0.98% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,078.35 จุด ลดลง -5.02 จุด หรือ -0.07%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยบวกจากการที่เฟดส่งสัญญาณว่ายังไม่เร่งถอนมาตรการกระตุ้นทางการเงินที่เฟดนำมาใช้เพื่อพยุงเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น เฟดไม่ได้ระบุไทม์ไลน์ในการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) โดยส่งสัญญาณเพียงว่าจะปรับลด QE ในไม่ช้านี้หากเศรษฐกิจมีความคืบหน้าตามที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของเอเวอร์แกรนด์ หลังจากธนาคารกลางจีนอัดฉีดสภาพคล่องจำนวน 1.10 แสนล้านหยวน (1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นจำนวนเงินมากที่สุดในรอบ 8 เดือน หลังจากที่ได้อัดฉีดเงินไปแล้วจำนวนหนึ่งในช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว โดยมีเป้าหมายที่จะหลีกเลี่ยงภาวะสภาพคล่องตึงตัวในระบบหลังจากบริษัทเอเวอร์แกรนด์ประสบปัญหาสภาพคล่องลดลงและมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้
หุ้น Valeo FR ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ของยุโรป พุ่งขึ้น 7% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในช่วงครึ่งปีแรกที่แข็งแกร่งเกินคาด และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ตลอดปีงบการเงิน 2564
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน หลังจากไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงินเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-บริการเบื้องต้นของเยอรมนี อยู่ที่ระดับ 55.3 ในเดือนก.ย. ลดลงจากระดับ 60.0 ในเดือนส.ค. และทำสถิติต่ำสุดในรอบ 7 เดือน
ส่วนดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-บริการเบื้องต้นของฝรั่งเศส ลดลงสู่ระดับ 55.1 จุดในเดือนก.ย. จาก 55.9 จุดในเดือนส.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ 55.8 จุด