ดาวโจนส์ประเดิมเดือนต.ค.ร้อนแรง พุ่งกว่า 300 จุด ยาโมลนูพิราเวียร์หนุนตลาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday October 1, 2021 23:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในวันนี้ ซึ่งเป็นการซื้อขายวันแรกของเดือนต.ค. ล่าสุดทะยานกว่า 300 จุด ขานรับประสิทธิภาพของยาโมลนูพิราเวียร์ในการรักษาโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ

ณ เวลา 23.33 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 34,152.74 จุด บวก 308.82 จุด หรือ 0.91%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีร่วงลงต่ำกว่า 1.5% ในวันนี้

หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจต่างพุ่งขึ้นในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนมีความหวังว่ายาโมลนูพิราเวียร์จะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทดีดตัวขึ้นในวันนี้ หลังจากดิ่งลงอย่างหนักในเดือนก.ย. โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 4.3% ดัชนี S&P 500 รูดลง 4.8% และดัชนี Nasdaq ทรุดตัวลง 5.3% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2564

ข้อมูลจาก "Stock Trader's Almanac" ระบุว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมักฟื้นตัวขึ้นในเดือนต.ค. และปรับตัวขึ้นจนถึงสิ้นปี โดยเดือนต.ค.ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับตัวขึ้นตามฤดูกาลของราคาหุ้น ขณะที่ดัชนี S&P 500 ดีดตัวขึ้นเฉลี่ย 0.8% ในเดือนต.ค. ก่อนที่จะพุ่งขึ้น 1.6% ในเดือนพ.ย. และ 1.5% ในเดือนธ.ค.

ราคาหุ้นบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้นกว่า 11% ในการซื้อขายวันนี้ ขานรับข่าวดีจากการที่ทางบริษัทเตรียมยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เพื่อขออนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ในกรณีฉุกเฉิน หลังการทดลองทางคลินิกได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ

ทั้งนี้ ยาโมลนูพิราเวียร์ เป็นยาเม็ดสำหรับรักษาโรคโควิด-19 ซึ่งเมอร์คระบุว่ามีประสิทธิภาพในการต้านไวรัสโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์เดลตา

แม้ว่าขณะนี้ยาโมลนูพิราเวียร์ยังไม่ได้รับการรับรองจาก FDA แต่หลายประเทศทั่วโลกก็ได้เริ่มสั่งยาโมลนูพิราเวียร์จากเมอร์คแล้ว ซึ่งรวมถึงสหรัฐ โดยทางบริษัทได้รับคำสั่งซื้อจากรัฐบาลสหรัฐในการจัดส่งยาจำนวน 1.7 ล้านเม็ด

อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ และโมเดอร์นา อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ดิ่งลงอย่างหนักในวันนี้ หลังมีการเปิดเผยประสิทธิภาพของยาโมลนูพิราเวียร์ในการรักษาโรคโควิด-19

ทั้งนี้ ราคาหุ้นของไฟเซอร์และโมเดอร์นาดิ่งลง 3% และ 10% ตามลำดับในการซื้อขายวันนี้

นายไมเคิล ยี ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพของบริษัทเจฟเฟอรีส์ กล่าวว่า ราคาหุ้นของบริษัททั้งสองที่ร่วงลงเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนจะกลัวโควิดน้อยลง และจะลดความต้องการฉีดวัคซีน ในเมื่อมียาเม็ดที่กินได้ง่ายเพื่อรักษาโควิด

ส่วนนายอาเมช อาดาลจา นักวิชาการอาวุโสจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์กล่าวว่า "ยาเม็ดที่ใช้รับประทานซึ่งสามารถลดความเสี่ยงอย่างมากในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลถือเป็นตัวพลิกเกมเลยทีเดียว เนื่องจากวิธีการรักษาโรคโควิด-19 ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันถือว่าสร้างความยุ่งยากให้แก่แพทย์อย่างมาก ซึ่งการมียากินรักษาแบบสะดวกจะช่วยได้มาก"

ดัชนีดาวโจนส์ยังได้แรงหนุนจากการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวแล้ว ซึ่งจะช่วยให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐมีงบประมาณใช้จ่ายจนถึงวันที่ 3 ธ.ค.นี้ และหลีกเลี่ยงไม่ให้หน่วยงานเหล่านี้ต้องถูกปิดการดำเนินงาน

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ พุ่งขึ้น 3.6% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2534 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.5%

การพุ่งขึ้นของดัชนี PCE พื้นฐานมีสาเหตุจากภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน และความต้องการใช้เชื้อเพลิงในระดับสูงกว่าปกติ

เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.2%

ส่วนดัชนี PCE ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 4.3% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2534

เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไปเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค.

ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จากกระทรวงแรงงานสหรัฐ

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.7%

ขณะเดียวกัน รายได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนส.ค. สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

ส่วนอัตราการออมของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 9.4% สู่ระดับ 1.71 ล้านล้านดอลลาร์ หลังจากพุ่งขึ้น 10.1% ในเดือนก.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ