ดาวโจนส์พุ่งกว่า 400 จุด หุ้นขึ้นยกแผง ขานรับเศรษฐกิจแกร่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 5, 2021 22:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดทะยานกว่า 400 จุด โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเกือบทุกกลุ่มในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ขานรับตัวเลขดัชนีภาคบริการของสหรัฐที่สูงกว่าคาดในเดือนก.ย.

ณ เวลา 22.02 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 34,443.20 จุด บวก 440.28 จุด หรือ 1.29%

ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ ขณะที่นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า รัฐบาลสหรัฐอาจเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นในการซื้อขายวันนี้ โดยราคาหุ้นเฟซบุ๊กพุ่งขึ้น 1% หลังจากทรุดตัวลง 5% เมื่อวานนี้ ขณะที่การให้บริการของเฟซบุ๊ก, อินสตาแกรมและ WhatsApp ประสบปัญหาระบบล่มทั่วโลก

หุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เช่น ธุรกิจเรือสำราญ สายการบิน ค้าปลีก และธนาคาร ต่างดีดตัวขึ้นในการซื้อขายวันนี้

หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นเช่นกัน ตามการทะยานขึ้นของราคาน้ำมัน ขานรับผลการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส

สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 61.9 ในเดือนก.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 60.0 จากระดับ 61.7 ในเดือนส.ค.

ดัชนีภาคบริการของสหรัฐได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่ แม้ว่าการจ้างงานชะลอตัวลง

ดัชนียังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคบริการ

ทั้งนี้ ดัชนีภาคบริการของ ISM ประกอบด้วยอุตสาหกรรม 17 กลุ่ม ซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง การก่อสร้าง และเหมืองแร่

ข้อมูลจาก "Stock Trader's Almanac" ระบุว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมักฟื้นตัวขึ้นในเดือนต.ค. และปรับตัวขึ้นจนถึงสิ้นปี โดยเดือนต.ค.ถือเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงขาขึ้นตามฤดูกาลของราคาหุ้น ขณะที่ดัชนี S&P 500 ดีดตัวขึ้นเฉลี่ย 0.8% ในเดือนต.ค. ก่อนที่จะพุ่งขึ้น 1.6% ในเดือนพ.ย. และ 1.5% ในเดือนธ.ค.

อย่างไรก็ดี สำหรับไตรมาส 4 ในปีนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเผชิญการปรับฐานจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้, ความขัดแย้งในสภาคองเกรสเกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้สหรัฐ, การที่สภาคองเกรสอาจให้การอนุมัติการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่เฟดใช้ในการพิจารณาการปรับลดวงเงิน QE และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 450,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้นเพียง 235,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค.

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้น 4.2% สู่ระดับ 7.33 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.05 หมื่นล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ การนำเข้าพุ่งขึ้น 1.4% สู่ระดับ 2.87 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 0.5% สู่ระดับ 2.14 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2562

นอกจากนี้ สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนเพิ่มขึ้น 10.8% สู่ระดับ 3.17 หมื่นล้านดอลลาร์

หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปี 2564 สหรัฐขาดดุลการค้ามากที่สุดต่อประเทศคู่ค้า 5 ชาติ ได้แก่ จีน เม็กซิโก เวียดนาม เยอรมนี และญี่ปุ่น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ