ณ เวลา 20.40 น. ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 34,535.39 จุด เพิ่มขึ้น 39.33 จุด หรือ 0.11%
นักลงทุนกังวลว่าการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันจะส่งผลให้ต้นทุนพลังงานดีดตัวและก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อตามมา นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นยังอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทเอกชนและบั่นทอนการใช้จ่ายของผู้บริโภค
ราคาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้นทะลุระดับ 82 ดอลลาร์/บาร์เรลในการซื้อขายระหว่างวันเมื่อคืนนี้ (11 ต.ค.) ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 80.52 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.5% จากระดับปิดของวันศุกร์
นอกจากนี้ การซื้อขายยังได้รับปัจจัยกดดันหลังกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลงจากเดิมที่เมื่อเดือนก.ค.คาดว่าจะขยายตัว 6.0% เหลือเป็นขยายตัว 5.9% ขณะที่ยังคงตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีหน้าไว้ว่าจะขยายตัว 4.9%
IMF ระบุในรายงาน World Economic Outlook ว่า ปัญหาด้านซัพพลายเชนนั้นเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งแม้ IMF จะปรับลดตัวเลขคาดการณ์เพียงเล็กน้อยในภาพรวมทั่วโลก แต่สำหรับบางประเทศนั้น การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้แนวโน้มของประเทศเหล่านี้มืดมนมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ต่ำ
ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐ โดยเจพีมอร์แกนมีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ในวันพุธนี้ ส่วนโกลด์แมน แซคส์, แบงก์ ออฟ อเมริกา, มอร์แกน สแตนลีย์, เวลส์ ฟาร์โก และซิตี้ กรุ๊ป จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนส.ค. ซึ่งสหรัฐจะเปิดเผยในคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และยอดค้าปลีกเดือนก.ย.ของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ไทม์ไลน์ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย