ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวแคบในวันนี้ หลังจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีทดีดตัวขึ้นวานนี้ ขานรับผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ณ เวลา 20.08 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 11 จุด หรือ 0.03% สู่ระดับ 36,024 จุด
ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุด แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อคืนนี้ หลังจากที่เฟดประกาศว่าจะเริ่มทยอยปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือนพ.ย. ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งส่งสัญญาณว่าเฟดยังไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ราคาหุ้นของบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้นเกือบ 2% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นวอลล์สตรีทวันนี้ รับข่าวสหราชอาณาจักรให้การอนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์เป็นประเทศแรกของโลก
ส่วนราคาหุ้นของบริษัทโมเดอร์นา อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลงกว่า 10% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาด หลังจากที่บริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไรและรายได้ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3 ขณะที่ปรับลดคาดการณ์ยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 ในปีนี้
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 14,000 ราย สู่ระดับ 269,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2563 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ
นอกจากนี้ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 275,000 ราย และต่ำกว่า 300,000 รายเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน
นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันพรุ่งนี้ ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในเวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 450,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้นเพียง 194,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย.
นอกจากนี้ คาดว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 4.7% ในเดือนต.ค. จากระดับ 4.8% ในเดือนก.ย.