ดาวโจนส์ไหลไม่หยุด ล่าสุดทรุดกว่า 500 จุด หุ้นวูบหนักส่งท้ายเดือนมิ.ย.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 30, 2022 21:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทรุดตัวลงกว่า 500 จุด ใกล้หลุดระดับ 30,000 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ณ เวลา 20.59 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 30,478.48 จุด ลบ 550.83 จุด หรือ 1.78%

หุ้นทุกกลุ่มปรับตัวลงในวันนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายสำหรับการซื้อขายหุ้นในเดือนมิ.ย. รวมทั้งเป็นวันสุดท้ายสำหรับไตรมาส 2 และครึ่งแรกของปี 2565

ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์, S&P 500 และ Nasdaq มีแนวโน้มปรับตัวลงในเดือนมิ.ย. ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ และ S&P 500 มีแนวโน้มทำสถิติปรับตัวย่ำแย่ที่สุดเทียบรายไตรมาสนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนดัชนี Nasdaq มีแนวโน้มทำสถิติทรุดตัวลงมากที่สุดเทียบรายไตรมาสนับตั้งแต่ปี 2551

นอกจากนี้ ดัชนี S&P 500 ดิ่งลง 20% นับตั้งแต่ต้นปี และมีแนวโน้มทำสถิติทรุดตัวลงมากที่สุดเทียบรายครึ่งปีนับตั้งแต่ปี 2513

นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/65 หดตัว 1.6% ซึ่งหากเศรษฐกิจสหรัฐหดตัวต่อไปในไตรมาส 2/65 ก็จะทำให้สหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากเศรษฐกิจหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน

นอกจากนี้ ตลาดยังวิตกว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะฉุดให้เศรษฐกิจถดถอย หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ยืนยันวานนี้ว่า เฟดจะเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แม้จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงก็ตาม

นายแอนดรูว์ บอลส์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนระดับโลกของบริษัทแปซิฟิก อินเวสเมนท์ แมเนจเมนท์ โค หรือพิมโค ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ระบุเตือนว่า สหรัฐอาจเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

"การเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เป็นสิ่งที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าที่จะไม่เกิดขึ้น โดยมีโอกาสเกิดขึ้น 50% หรือมากกว่า ซึ่งคุณจะเห็นเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างมาก ขณะที่ยุโรปมีแนวโน้มเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยเช่นกัน และอาจมีโอกาสสูงกว่าสหรัฐ" นายบอลส์กล่าว

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 6.3% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากดีดตัวขึ้น 6.3% ในเดือนเม.ย.เช่นกัน แต่ต่ำกว่าระดับ 6.6% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนม.ค.2525

เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป พุ่งขึ้น 0.6% ในเดือนพ.ค. จากระดับ 0.2% ในเดือนเม.ย.

ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 4.7% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี โดยต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 4.8% และชะลอตัวจากระดับ 4.9% ในเดือนเม.ย.

เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ค. โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย.เช่นกัน

ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จากกระทรวงแรงงานสหรัฐ

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐลดลง 0.4% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย.

อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบรายปี การใช้จ่ายส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 2.1% ในเดือนพ.ค.

การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ หลังจากรัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน

ส่วนกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 2,000 ราย สู่ระดับ 231,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว แต่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 230,000 ราย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ