ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดิ่งลงเกือบ 200 จุด บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวลงในวันนี้ ซึ่งเป็นการซื้อขายวันแรกของไตรมาส 3 และครึ่งหลังของปี 2565
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปิดทำการในวันจันทร์ที่ 4 ก.ค. เนื่องในวันชาติสหรัฐ
ณ เวลา 19.08 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 186 จุด หรือ 0.6% สู่ระดับ 30,595 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลง 11.3% ในไตรมาส 2 ขณะที่ S&P 500 ร่วงลงมากกว่า 16% ทำสถิติปรับตัวย่ำแย่ที่สุดเทียบรายไตรมาสนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2563 ส่วน Nasdaq ทรุดตัวลง 22.4% ทำสถิติย่ำแย่ที่สุดเทียบรายไตรมาสนับตั้งแต่ปี 2551
นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงมากกว่า 15% ในช่วงครึ่งปีแรก ส่วน S&P 500 ร่วงลงมากกว่า 20% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบกว่า 50 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2513 ขณะที่ Nasdaq ทรุดตัวลงเกือบ 30%
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทถูกกดดันในปีนี้ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และความกังวลที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญภาวะถดถอยจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ การที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญภาวะถดถอยได้ใกล้เป็นความจริง หลังจากที่เฟดสาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มหดตัว 1.0% ในไตรมาส 2 จากเดิมที่บ่งชี้ว่ามีแนวโน้มขยายตัว 0.3%
ตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1 หดตัว 1.6% ซึ่งหากเศรษฐกิจสหรัฐหดตัวต่อไปในไตรมาส 2 ก็จะทำให้สหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากเศรษฐกิจหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน
ด้านนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวยืนยันว่า เฟดมีความมุ่งมั่นในการสกัดเงินเฟ้อ แม้การใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินจะชะลอการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ก็จะไม่สร้างความเสี่ยงที่รุนแรง
"เรามีความมุ่งมั่นที่จะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่เรามีเพื่อทำให้เงินเฟ้อปรับตัวลง ซึ่งการกระทำดังกล่าวก็คือการลดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งแม้จะมีความเสี่ยง แต่ผมก็มองว่านี่ไม่ใช่ความเสี่ยงใหญ่ที่สุดต่อเศรษฐกิจ โดยความผิดพลาดมากกว่าที่อาจเกิดขึ้นก็คือความล้มเหลวในการรักษาเสถียรภาพต้านราคา" นายพาวเวลกล่าวในการประชุมประจำปีของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่จัดขึ้นที่โปรตุเกสในสัปดาห์นี้