สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (20 พ.ค.) โดยถูกกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของรัฐบาลสหรัฐฯ และจากการที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศ
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.31% แตะที่ระดับ 100.119
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 144.55 เยน จากระดับ 144.97 เยนในวันจันทร์ (19 พ.ค.) ขณะเดียวกันก็อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8298 ฟรังก์ จากระดับ 0.8348 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3930 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3959 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1273 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1235 ดอลลาร์ในวันจันทร์ ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3379 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3356 ดอลลาร์
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากมีรายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางไปยังรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ เพื่อโน้มน้าวสมาชิกพรรครีพับลิกันให้ผ่านร่างกฎหมายปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ขณะที่นักวิเคราะห์เตือนว่า การปรับลดอัตราภาษีครั้งใหม่จะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ มีภาระหนี้เพิ่มขึ้นอีก 3-5 ล้านล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้สินของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มูดี้ส์ เรทติ้งส์ ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐ จากระดับ Aaa สู่ระดับ Aa1 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 พ.ค.) โดยมูดี้ส์ระบุแถลงการณ์ว่า รัฐบาลและรัฐสภาสหรัฐฯ หลายชุดที่ผ่านมาไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับมาตรการที่จะแก้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณรายปีจำนวนมากและภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น
ราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาแอตแลนตาเปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า เขาสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากเฟดต้องรักษาสมดุลระหว่างแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อเงินเฟ้อ และความวิตกเกี่ยวกับการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ เขากล่าวว่าการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีอัตราสูงกว่าที่เฟดคาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปีนี้
"สำหรับผมแล้ว ผมคาดว่าจะต้องใช้เวลานาน กว่าที่เรื่องนี้จะคลี่คลาย โดยผมคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในปีนี้ เพราะผมคิดว่ามันจะต้องใช้เวลา และหลังจากนั้นเราก็คงต้องดูว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ผมมีกังวลอย่างมากเกี่ยวกับเงินเฟ้อ เพราะเรากำลังเห็นคาดการณ์เงินเฟ้อปรับตัวไปยังทิศทางที่น่ากังวล ซึ่งจะทำให้การทำงานของเรายากขึ้น" บอสติกกล่าว