สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (4 มิ.ย.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการที่ปธน.ทรัมป์เรียกร้องให้เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.45% แตะที่ระดับ 98.786
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 142.81 เยน จากระดับ 143.91 เยนในวันอังคาร (3 มิ.ย.) ขณะเดียวกันก็อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8178 ฟรังก์ จากระดับ 0.8238 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3665 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3716 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1421 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1375 ดอลลาร์ในวันอังคาร ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3558 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3525 ดอลลาร์
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการปรับตัวลงสู่ระดับ 49.9 ในเดือนพ.ค. จากระดับ 51.6 ในเดือนเม.ย. โดยดัชนีเดือนพ.ค.อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะหดตัวของภาคบริการ และเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบเกือบ 1 ปี โดยได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า ส่งผลให้คำสั่งซื้อใหม่ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี
ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง(ADP) เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียง 37,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2566 และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 110,000 ตำแหน่ง หลังจากเพิ่มขึ้น 60,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย.
ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอทำให้นักลงทุนกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรของปธน.ทรัมป์กำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยล่าสุดปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมเป็นเท่าตัวสู่ระดับ 50% ซึ่งจุดชนวนความวิตกกังวลรอบใหม่เกี่ยวกับการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ
ดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการที่ปธน.ทรัมป์แสดงความไม่พอใจอีกครั้งหนึ่งต่อพาวเวล และเรียกร้องให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยทันที หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ ที่อ่อนแอ
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ เพื่อหาสัญญาณเพิ่มเติมว่ามาตรการภาษีศุลกากรจะส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานมากเพียงใด ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียง 130,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 177,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.2%