สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (1 ต.ค.) หลังมีรายงานว่าตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนปรับตัวลงมากกว่าคาด ซึ่งทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังถูกกดดันจากความกังวลว่าการที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกปิดดำเนินการเนื่องจากขาดงบประมาณ หรือชัตดาวน์ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศ
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.07% แตะที่ 97.706 หลังจากที่ดิ่งลงแตะระดับ 97.54 ในระหว่างวัน
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 147.09 เยน จากระดับ 147.87 เยนในวันอังคาร (30 ก.ย.) แต่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.7971 ฟรังก์ จากระดับ 0.7961 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3940 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3918 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1735 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1741 ดอลลาร์ ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3486 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3449 ดอลลาร์
ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ ลดลง 32,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่งหรือนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2566 และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 52,000 ตำแหน่ง นอกจากนี้ ADP ได้ปรับทบทวนตัวเลขการจ้างงานในเดือนส.ค.เป็นลดลง 3,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานว่าเพิ่มขึ้นถึง 54,000 ตำแหน่ง
หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะชัตดาวน์อย่างเป็นทางการแล้วในวันพุธที่ 1 ต.ค. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี และครั้งที่ 3 ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณชั่วคราวที่จะช่วยให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางหลีกเลี่ยงการถูกชัตดาวน์
วุฒิสภาสหรัฐฯ ประสบความล้มเหลวในการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวในการโหวตเมื่อช่วงค่ำวันอังคาร (30 ก.ย.) โดยพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาได้ขัดขวางมติการจัดสรรเงินทุนอย่างต่อเนื่อง (continuing resolution) ที่พรรครีพับลิกันนำเสนอเพื่อให้รัฐบาลดำเนินงานต่อไปได้เป็นการชั่วคราว โดยข้อเสนอดังกล่าวได้รับเสียงสนับสนุนไม่ถึง 60 เสียง ซึ่งเป็นคะแนนที่จำเป็นสำหรับการผ่านร่างกฎหมาย
ทั้งนี้ การชัตดาวน์ส่งผลให้กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยข้อมูลเศรษฐกิจที่จะได้รับผลกระทบได้แก่ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานซึ่งมีกำหนดเผยแพร่ในวันที่ 2 ต.ค., ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่มีกำหนดเผยแพร่ในวันที่ 3 ต.ค. และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่มีกำหนดเผยแพร่ในวันที่ 15 ต.ค.