ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (4 พ.ย.) โดยดัชนีดอลลาร์ดีดตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 เดือน ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดได้ส่งสัญญาณที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.35% แตะที่ระดับ 100.225
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8105 ฟรังก์ จากระดับ 0.8077 ฟรังก์ในวันจันทร์ (3 พ.ย.) และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.4101 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.4052 ดอลลาร์แคนาดา แต่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 153.63 เยน จากระดับ 154.19 เยน
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1479 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1520 ดอลลาร์ในวันจันทร์ ส่วนเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3015 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3138 ดอลลาร์
ดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกหรือไม่ในการประชุมเดือนธ.ค. โดยเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด เตือนว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.ยังคงมีความไม่แน่นอน ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมาอาจจะเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายของปีนี้
ด้านลิซา คุก หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟดกล่าวว่า ความเสี่ยงที่สูงขึ้นทั้งด้านการจ้างงานและการควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมายของเฟดนั้น ทำให้เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในการประชุมในวันที่ 9-10 ธ.ค. แต่ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่แน่นอน ขณะที่ออสติน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโกกล่าวว่า เขายังคงใช้ความระมัดระวังในการสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
ส่วนสตีเฟน มิแรน ผู้ว่าการเฟดอีกคนหนึ่ง ยังคงมีมุมมองว่า นโยบายการเงินของเฟดอยู่ในระดับที่คุมเข้มมากเกินไป และเขายังคงสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยขนานใหญ่ โดยมิแรนกล่าวว่า เขามีมุมมองที่เป็นบวกต่อเงินเฟ้อมากกว่ากรรมการเฟดคนอื่น ๆ และเขาไม่เห็นเหตุผลใดที่ทำให้เฟดจะยังคงดำเนินนโยบายคุมเข้มด้านการเงิน
หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงปิดทำการเนื่องจากขาดงบประมาณ หรือชัตดาวน์ ส่งผลให้นักลงทุนขาดข้อมูลอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล และหันไปพึ่งพาข้อมูลจากแหล่งอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขจ้างงานของภาคเอกชนที่ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) ADP จะเปิดเผยในวันนี้ (5 พ.ย.)