ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันจันทร์ (15 ธ.ค.) ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรและยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.09% แตะที่ 98.306
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 155.24 เยน จากระดับ 155.90 เยนในวันศุกร์ (12 ธ.ค.) แต่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.7966 ฟรังก์ จากระดับ 0.7959 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3773 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3766 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1749 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.1740 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3373 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3366 ดอลลาร์สหรัฐ
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ จะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนต.ค.และพ.ย. ในวันนี้ (16 ธ.ค.) และจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนพ.ย.ในวันพฤหัสบดีที่ 18 ธ.ค. นอกจากนี้ จะมีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจอีกหลายรายการในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีก, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขจ้างงานของภาคเอกชนจาก ADP และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและภาคบริการจาก S&P Global
นักลงทุนประเมินรายงานข่าวที่ว่า การเสนอชื่อเควิน แฮสเซตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติประจำทำเนียบขาวให้ดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่นั้น กำลังเผชิญกับแรงต้านจากบุคคลที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แม้ในช่วงที่ผ่านมา แฮสเซตต์ซึ่งมีจุดยืนสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเชิงรุก ถือเป็นตัวเก็งที่จะเข้ามานั่งตำแหน่งประธานเฟดแทนเจอโรม พาวเวล ซึ่งจะครบวาระในเดือนพ.ค.ปีหน้า
ด้านเจ้าหน้าที่เฟดได้ออกมาแสดงความเห็นที่ค่อนข้างขัดแย้งกัน โดยจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์กกล่าวว่า การที่เฟดตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้นโยบายการเงินของเฟดอยู่ในสถานะที่ดี ขณะที่สตีเฟน มิแรน ผู้ว่าการเฟดกล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันไม่ได้สะท้อนถึงพลวัตของอุปสงค์และอุปทานที่แท้จริง
นักลงทุนจับตาการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE), ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในสัปดาห์นี้
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางทั้ง 3 แห่งจะมีการตัดสินใจด้านอัตราดอกเบี้ยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในการประชุมรอบนี้ โดยคาดกันว่า ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.15% ขณะที่ BOE จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย สู่ระดับ 3.75% หลังเงินเฟ้อชะลอตัว ส่วน BOJ จะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับ 0.50% หลัง BOJ เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ (ทังกัน) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 15 ในไตรมาส 4/2568 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี จากระดับ 14 ในไตรมาส 3