ดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มปรับตัวย่ำแย่ที่สุดในรอบกว่า 20 ปีนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้ (24 ธ.ค.) หลังจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในปีหน้า แม้ธนาคารกลางของบางประเทศมีแนวโน้มดำเนินนโยบายในทิศทางตรงกันข้ามก็ตาม
ในตลาดเอเชีย เงินดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหวในแดนลบ โดยแม้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ ออกมาแข็งแกร่ง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนมุมมองของตลาดต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ได้ ส่งผลให้นักลงทุนยังคงประเมินว่า เฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกราว 2 ครั้งในปี 2569
นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์มองว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ๆ ละ 0.25% สู่ระดับ 3.00-3.25% โดยระบุว่าความเสี่ยงยังคงโน้มเอียงไปในทางการลดดอกเบี้ยมากกว่าการคงหรือปรับขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง
เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก ดัชนีดอลลาร์สหรัฐร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนครึ่งที่ 97.767 และมีแนวโน้มปรับตัวลงราว 9.9% ในปีนี้ ซึ่งจะนับเป็นการปรับตัวลงรายปีรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2546
ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา เงินดอลลาร์เผชิญความผันผวนอย่างมาก จากนโยบายภาษีที่ไม่แน่นอนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นในสินทรัพย์สหรัฐฯ ในช่วงต้นปี ขณะเดียวกัน อิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของทรัมป์ต่อเฟดยังสร้างความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์ของเอชเอสบีซีระบุในรายงานแนวโน้มค่าเงินว่า ค่าพรีเมียมความเสี่ยงของดอลลาร์สหรัฐขยายตัวขึ้นในเดือนธ.ค. ซึ่งสะท้อนว่า การอ่อนค่าของดอลลาร์อาจเกิดจากความกังวลต่อความเป็นอิสระของเฟด มากกว่าปัจจัยด้านแนวโน้มนโยบายการเงินเพียงอย่างเดียว
เอชเอสบีซียังประเมินว่า ในภาวะที่ธนาคารกลางของประเทศพัฒนาแล้วในกลุ่ม G10 หลายแห่งยังคงตรึงนโยบายการเงินไว้นั้น การดำเนินมาตรการด้านสภาพคล่องของเฟด รวมถึงท่าทีเชิงผ่อนคลายของเฟด ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์เอนเอียงไปในทิศทางอ่อนค่าลง