ค่าเงินยูโรแข็งค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.3604 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3593 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์ปรับขึ้นที่ 1.7024 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.7011 ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐลดลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 101.90 เยน จากระดับ 102.13 เยน และปรับลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.8941 ฟรังค์ จากระดับ 0.8957 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.9417 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9385 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง แม้ว่ามีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง โดยมาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการข้อมูลด้านการเงินเปิดเผยว่า ภาคการผลิตของสหรัฐในเดือนมิ.ย.ขยายตัวแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์ได้ประเมินไว้ และทำสถิติปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี
รายงานของมาร์กิตระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 57.5 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 56.4 ในเดือนพ.ค.
ขณะเดียวกัน สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ (NAR) ของสหรัฐเปิดเผยว่ายอดขายบ้านมือสองปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.9% ในเดือนพ.ค. ที่ระดับ 4.89 ยูนิต จาก 4.66 ยูนิตในเดือนเม.ย. ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.5% จากเดือนก่อนหน้า
ทั้งนี้ ดอลลาร์ได้เผชิญกับแรงกดดัน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันท่าทีด้านนโยบายการเงินในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างมากยังคงมีความเหมาะสม
ทางด้านนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดก็กล่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า เฟดมีแผนที่จะยังคงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปเป็นระยะเวลานาน หลังจากสิ้นสุดโครงการซื้อพันธบัตรแล้ว