เงินยูโรปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.0862 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.0811 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ดีดขึ้นแตะ 1.4909 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.4884 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 122.28 เยน จาก 121.82 เยน อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9928 ฟรังก์ จาก 0.9971 ฟรังก์ และปรับตัวลดลงแตะ 1.3928 ดอลลาร์แคนาดา จาก 1.3960 ดอลลาร์แคนาดา
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7186 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7117 ดอลลาร์
ทั้งนี้ ดอลลาร์สหรัฐกลับมาอ่อนค่าลง หลังจากที่พุ่งแรงวันก่อน โดยดัชนีดอลลาร์ที่เปรียบเทียบดอลลาร์สหรัฐกับอีก 6 สกุลเงินหลัก เพิ่มขึ้น 1.39% แตะ 99.233 ในวันพฤหัสบดี ขานรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยนักลงทุนได้เข้าซื้อดอลลาร์มากขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้ดอลลาร์มีความน่าดึงดูดใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุน เนื่องจากจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ
ในการประชุมนโยบายการเงินเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% อยู่ในช่วง 0.25-0.50% ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์กันไว้ โดยเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2549
นักวิเคราะห์ระบุว่าการดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างกันระหว่างเฟดและธนาคารกลางอื่นๆได้ส่งผลให้กระแสเงินทุนหลั่งไหลไปยังสหรัฐ และช่วยหนุนดอลลาร์ให้ปรับตัวแข็งแกร่ง
ขณะเดียวกันดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยนในการซื้อขายวันศุกร์ หลังจากที่ประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นมีมติว่าจะยังคงใช้นโยบายในการเพิ่มฐานเงินที่อัตราราว 80 ล้านล้านเยนต่อปี ผ่านทางการซื้อสินทรัพย์ขนานใหญ่
อย่างไรก็ตาม BOJ ระบุว่า จะขยายระยะเวลาการซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลภายใต้โครงการผ่อนคลายทางการเงิน
แถลงการณ์ภายหลังการประชุมยังระบุด้วยว่า BOJ จะใช้จ่ายเงินราว 3 แสนล้านเยนหรือมากกว่า ในการซื้อกองทุน ETF (Exchange-raded Funds)