อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปีพุ่งขึ้นทะลุระดับ 5% ก่อนปรับตัวลงในเวลาต่อมา ท่ามกลางความวิตกที่ว่า รัฐบาลสหรัฐอาจต้องคืนเงินภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บไปแล้วจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์แก่ประเทศคู่ค้า ซึ่งจะซ้ำเติมสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐ
นอกจากนี้ นักลงทุนกังวลว่า ความพยายามของปธน.ทรัมป์ในการเข้าควบคุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลดลง แต่จะทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจในความน่าเชื่อถือของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ
ณ เวลา 19.37 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.275% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.964%
คำสั่งเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังจากศาลอุทธรณ์ของสหรัฐมีคำวินิจฉัยเมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า ภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของปธน.ทรัมป์ "มิชอบด้วยกฎหมาย"
ทั้งนี้ ศาลตัดสินว่า มีเพียงสภาคองเกรสเท่านั้นที่มีอำนาจในการกำหนดการจัดเก็บภาษีในวงกว้าง โดยระบุว่า "อำนาจหลักของสภาคองเกรสในการจัดเก็บภาษี เช่น ภาษีศุลกากรนั้น เป็นอำนาจที่รัฐธรรมนูญมอบให้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติเพียงฝ่ายเดียว"
ด้านปธน.ทรัมป์ระบุว่า คำตัดสินดังกล่าวมีสาเหตุทางการเมือง และเขาจะยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาสหรัฐ
การตัดสินของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ได้เพิ่มความเป็นไปได้ที่รัฐบาลสหรัฐอาจต้องคืนเงินภาษีที่เรียกเก็บไปแล้ว ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐ
นายเอ็ด มิลส์ จากบริษัท Raymond James ระบุในรายงานว่า "หากคำตัดสินนี้มีผลบังคับใช้จริง จะทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องคืนเงินภาษีศุลกากรที่เก็บไปแล้ว ซึ่งจะทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างมาก และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้น"
ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์แสดงความยินดีที่เงินจากการเก็บภาษีศุลกากรกำลังหลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐ คิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์