ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ประกาศปรับแนวโน้ม (Outlook) อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term Foreign-Currency IDR) ของไทยจาก "มีเสถียรภาพ" (Stable) เป็น "เชิงลบ" (Negative) แต่ยังคงอันดับเครดิตไว้ที่ BBB+ โดยปัจจัยสำคัญที่มีผลต่ออันดับเครดิตมีดังนี้:
แนวโน้มอันดับเครดิตเชิงลบ: การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อแนวโน้มด้านการคลังสาธารณะของไทย อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ผนวกกับแรงกดดันต่อการเติบโตจากอุปสงค์โลกที่ชะลอตัว การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ล่าช้า และภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ขณะที่ระดับกันชนทางการคลังของไทยลดลง โดยหนี้สาธารณะรวมอยู่ที่ 59.4% ของ GDP ในเดือนส.ค. 2568 ใกล้ค่าเฉลี่ยของกลุ่ม BBB ที่ 59.6% และสูงกว่าระดับก่อนโควิด-19 ถึง 25 จุดเปอร์เซ็นต์
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ การเลื่อนแผนการปรับลดการขาดดุลงบประมาณ และความไม่แน่นอนของยุทธศาสตร์การคลัง ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังระยะกลาง ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างจำกัดและแรงกดดันจากโครงสร้างประชากรสูงวัย
การคงอันดับเครดิต: การคงอันดับเครดิตของไทยที่ BBB+ ได้รับแรงหนุนจากฐานะการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่ง กรอบนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มั่นคง และศักยภาพในการจัดหาเงินกู้ของรัฐบาล โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้สกุลเงินท้องถิ่นและต้นทุนการกู้ยืมต่ำ โดยฟิทช์ประเมินต้นทุนดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 5.7% ของรายได้ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มเทียบเคียงที่ 9.2% จึงช่วยถ่วงดุลความท้าทายที่เพิ่มขึ้นในด้านการคลัง หนี้ครัวเรือนที่ยังสูง และรายได้ต่อหัว รวมถึงคะแนนธรรมาภิบาลที่ต่ำกว่าประเทศในกลุ่ม BBB
แรงกดดันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ: ฟิทช์คาดว่า GDP ของไทยจะเติบโต 2.2% ในปี 2568 และ 1.9% ในปี 2569 (ค่าเฉลี่ยของกลุ่ม BBB เท่ากับ 2.7%) ลดลงจาก 2.5% ในปี 2567 เนื่องจากอุปสงค์ในและต่างประเทศอ่อนแอลง การส่งออกที่เคยเร่งตัวขึ้นจากการกำหนดภาษีนำเข้าของสหรัฐเริ่มชะลอตัว นักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงเดือนม.ค.ส.ค. 2568 มีเพียง 21.9 ล้านคน ต่ำกว่าสถิติทั้งปี 2562 ที่ 39.9 ล้านคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงอย่างมากส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ขณะที่ความต้องการส่งออกชะลอลงเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอและการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐในอัตรา 19% แต่การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ต่อเนื่องอาจช่วยพยุงการเติบโตได้
การเลือกตั้งใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้: แพทองธาร ชินวัตร ได้ถูกศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงต้นเดือนก.ย. 2568 จากกรณีการสนทนาทางโทรศัพท์กับฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชาระหว่างเหตุตึงเครียดชายแดนในเดือนก.ค.-ส.ค. ต่อมาได้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทยซึ่งได้ตกลงกับพรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านว่าจะจัดการเลือกตั้งภายใน 4 เดือน เพื่อแลกกับการสนับสนุน ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันด้านงบประมาณในระยะสั้น และสร้างความไม่แน่นอนเชิงนโยบายการคลังและหนี้สาธารณะ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้เพิ่มศักยภาพทางการคลังได้ล่าช้า: ฟิทช์คาดว่าภาครัฐจะใช้งบประมาณที่มีอยู่ภายใต้กฎระเบียบนโยบายการคลัง ซึ่งจะนำไปสู่การขาดดุลงบประมาณ 4.6% ของ GDP ในปีงบประมาณ 2568 และ 4.3% ในปีงบประมาณ 2569 รัฐบาลชุดก่อนได้ใช้นโยบายแจกเงินให้กับประชาชนบางส่วนตามที่ได้ให้สัญญาไว้ในการเลือกตั้งปี 2566 และวางแผนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่บางโครงการ และงบประมาณปีงบประมาณ 2569 เพิ่งได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภา ทำให้การใช้จ่ายที่ลดลงหลังจากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในปีงบประมาณ 2567 ไม่น่าจะเกิดขึ้นซ้ำอีก
แนวโน้มหนี้สาธารณะของรัฐบาลที่ไม่แน่นอน: การเปลี่ยนแปลงผู้นำและการเลือกตั้งยังทำให้แนวทางการปรับลดหนี้หลังปีงบประมาณ 2569 ไม่ชัดเจน โดยฟิทช์คาดว่าหนี้รัฐบาลจะทรงตัวต่ำกว่า 65% ของ GDP ตั้งแต่ปี 2570 หากลดการขาดดุลได้เร็วหลังปี 2569 แต่ยังมีความเสี่ยงด้านลบในระดับสูง
หนี้ภาคครัวเรือนลดลง: หนี้ภาคครัวเรือนลดลงเหลือ 87.4% ของ GDP ในไตรมาส 1/2568 จากจุดสูงสุดที่ 95.5% ในไตรมาส 1/2564 หลังจากเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงโควิด โดยราว 30% เป็นสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่มีความเสี่ยงสูงหากตลาดแรงงานอ่อนแอ แต่ธนาคารต่าง ๆ ยังคงมีเงินสำรองและเงินกองทุนเพียงพอเพื่อรองรับความเสี่ยง
ฟิทช์คาดว่า อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพในภาคธนาคารจะสูงถึง 3.6% ภายในสิ้นปี 2568 อย่างไรก็ตาม การที่ครัวเรือนทยอยชำระหนี้หรือพยายามลดภาระหนี้ ทำให้การใช้จ่ายน้อยลง ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมมีข้อจำกัดหรือเติบโตช้าลง
นโยบายการเงินยังคงผ่อนคลาย: แรงกดดันจากราคาพลังงานและอาหารที่ลดลงทำให้ CPI เดือนส.ค.ติดลบ 0.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่เงินเฟ้อพื้นฐานยังบวก 0.8% เปิดโอกาสให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเมื่อผู้ว่าการคนใหม่เข้ารับตำแหน่งในเดือนต.ค. โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงรวม 1% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ล่าสุดอยู่ที่ 1.5% ในเดือนส.ค. ฟิทช์คาดว่าจะลดอีก 0.25% ในปีนี้และอีกครั้งในปี 2569 และคาดว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยจะค่อย ๆ เพิ่มจาก 0.2% ในปี 2568 เป็น 1.6% ในปี 2570 โดยอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1.03.0%
กันชนต่างประเทศที่แข็งแกร่ง: ไทยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเฉลี่ย 2.8% ของ GDP ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีสินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิเท่ากับ 47% ของ GDP (ค่าเฉลี่ยกลุ่ม BBB คือ -2%) และสถานะการลงทุนระหว่างประเทศสุทธิ 12.5% ของ GDP โดยฟิทช์คาดว่ายอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะลดลงเล็กน้อยเหลือ 2.3% ของ GDP ในปี 2569 จาก 2.8% ในปี 2568 เนื่องจากการนำเข้าที่ลดลงจากอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ จะชดเชยกับการส่งออกที่ลดลงอย่างมากบางส่วน
ESG - ธรรมาภิบาล: ไทยมีคะแนนด้าน ESG Relevance Score (RS) อยู่ที่ 5 และ 5+ ตามลำดับสำหรับด้านความมั่นคงทางการเมืองและสิทธิ และด้านหลักนิติธรรม คุณภาพสถาบันและกฎระเบียบ รวมถึงการควบคุมการทุจริต โดยคะแนน ESG ด้านการกำกับดูแลของไทยมีความสำคัญเพราะฟิทช์ให้ความสำคัญสูงกับดัชนีการกำกับดูแลของธนาคารโลก (WBGI) ในการประเมินความน่าเชื่อถือของรัฐ (Sovereign Rating Model) ไทยอยู่ในอันดับ WBGI ที่ระดับกลาง ซึ่งสะท้อนถึงประวัติการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองอย่างสงบในช่วงที่ผ่านมา ระดับสิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมืองปานกลาง ความสามารถของสถาบันปานกลาง และระดับการทุจริตปานกลาง