ลอรี โลแกน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาดัลลัส ส่งสัญญาณเมื่อวันพฤหัสบดี (29 พ.ค.) ว่า เฟดอาจจำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ในระดับปัจจุบันต่อไปอีกระยะหนึ่ง ขณะที่รอข้อมูลบ่งชี้ว่า ชุดนโยบายด้านการค้า ภาษี และกฎระเบียบของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะผลักดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้น หรือกดดันการจ้างงานให้ลดลง
"ขณะนี้ ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง อัตราเงินเฟ้อค่อย ๆ กลับสู่เป้าหมาย และความเสี่ยงต่อวัตถุประสงค์ของเฟดค่อนข้างสมดุล ดิฉันเชื่อว่านโยบายการเงินอยู่ในจุดที่เหมาะสม ... อาจต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควรกว่าเราจะทราบว่าดุลยภาพของความเสี่ยงกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งหรือไม่" โลแกนกล่าวในงานที่รัฐเท็กซัส และเสริมว่า หากดุลยภาพดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปจริง "เราจะเตรียมพร้อมอย่างดีเพื่อรับมือ"
เมื่อต้นเดือนนี้ เฟดได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ช่วง 4.25%-4.50% ตามการคาดการณ์ของตลาด โดยแถลงการณ์ของเฟดได้เตือนถึงความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจ และความเสี่ยงของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยควบคู่กับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น (stagflation) โดยระบุว่า "คณะกรรมการเฟดให้ความสนใจต่อความเสี่ยงที่มีต่อพันธกรณีทั้งสองประการของเฟด และประเมินว่าความเสี่ยงของการว่างงานที่สูงขึ้นและเงินเฟ้อที่ดีดตัวขึ้นได้เพิ่มขึ้นแล้ว"
ทั้งนี้ ความเห็นของโลแกนสอดคล้องกับเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายหลายราย รวมถึงเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ที่ต่างให้ความเห็นว่ายังเร็วเกินไปที่จะทราบว่ามาตรการภาษีเชิงรุกของทรัมป์จะผลักดันเงินเฟ้อเพียงชั่วคราวหรือต่อเนื่องยาวนานกว่านั้น หรือมาตรการภาษีดังกล่าวอาจลดการจ้างงานในบางภาคส่วนที่พึ่งพาการนำเข้าหรือไม่
"นโยบายการคลังของรัฐบาลกลางที่มุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ ก็อาจช่วยกระตุ้นการลงทุนและความต้องการของผู้บริโภคได้เช่นกัน ... แต่ในทางกลับกัน ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความผันผวนของตลาดการเงินอาจกระตุ้นให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจชะลอการตัดสินใจ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวตามไปด้วย" โลแกนกล่าว