จอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขานิวยอร์ก กล่าวในวันพุธ (16 ก.ค.) ว่า แม้นโยบายการเงินที่ "คุมเข้มเล็กน้อย" ของเฟดในขณะนี้ยังมีความเหมาะสม เพราะช่วยให้มีเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลก่อนตัดสินใจ แต่ก็ได้ส่งสัญญาณเตือนว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากกำแพงภาษีการค้านั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น และของจริงยังมาไม่ถึง
วิลเลียมส์กล่าวสุนทรพจน์ว่า "การคงนโยบายที่คุมเข้มเล็กน้อยเช่นนี้ไว้ ถือว่าเหมาะสมอย่างยิ่งในการบรรลุเป้าหมายการจ้างงานสูงสุดและเสถียรภาพด้านราคา" พร้อมเสริมว่า "มันทำให้เรามีเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลที่เข้ามาอย่างใกล้ชิด ประเมินแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป และพิจารณาความสมดุลของความเสี่ยง"
แม้ว่าวิลเลียมส์จะมองว่าเศรษฐกิจในปัจจุบันยังดีและตลาดแรงงานแข็งแกร่ง แต่เขาก็เตือนว่าอย่าเพิ่งชะล่าใจ "สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าผลกระทบจากกำแพงภาษียังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งต้องใช้เวลากว่าจะส่งผลเต็มที่" เขากล่าว "ผมคาดว่าผลกระทบจะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า"
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิลเลียมส์คาดการณ์ว่ากำแพงภาษีจะผลักดันให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้นอีกประมาณ 1% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ไปจนถึงครึ่งแรกของปีหน้า ขณะที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงเหลือโตเพียง 1% ในปีนี้ และอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นจาก 4.1% ในปัจจุบันไปอยู่ที่ 4.5% ภายในสิ้นปี
ความเห็นของวิลเลียมส์มีขึ้นในวันเดียวกับที่ตลาดการเงินผันผวนอย่างหนัก จากรายงานข่าวที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กำลังพิจารณาปลดเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดออกจากตำแหน่ง แต่ภายหลังทรัมป์ได้ปฏิเสธข่าวดังกล่าว
วิลเลียมส์ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อปฏิกิริยาของตลาด แต่เมื่อถูกถามถึงโอกาสที่พาวเวลจะถูกปลด เขาได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ "ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง" ทั้งนี้ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน วิลเลียมส์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่เฟดทุกคนยังคงมุ่งมั่นต่อภารกิจหลักของตนอย่างแน่วแน่
สถานการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่ปธน.ทรัมป์ได้วิพากษ์วิจารณ์เฟดอย่างต่อเนื่องที่ไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ย และแม้ว่าเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่จะยังอยู่ในโหมด "รอดูสถานการณ์" แต่รายงานการประชุมนโยบายของเฟดในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา กลับเผยให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ได้คาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในช่วงปลายปีนี้ โดยมีเสียงส่วนน้อยที่พร้อมจะให้ลดดอกเบี้ยทันทีในการประชุมเดือนก.ค.นี้