มิเชล โบว์แมน รองประธานฝ่ายกำกับดูแลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ให้ความเห็นเมื่อวานนี้ (9 ส.ค.) ว่า ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่ออกมาซบเซายิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าการลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้เป็นแนวทางที่เหมาะสม
โบว์แมนกล่าวที่งานประชุมผู้บริหารธนาคารในรัฐโคโลราโดว่า "การปรับนโยบายเชิงรุกให้เข้าใกล้ภาวะปกติมากขึ้นจากจุดที่ค่อนข้างจำกัดในปัจจุบันนั้น จะช่วยป้องกันไม่ให้ตลาดแรงงานอ่อนแอลงไปกว่านี้ และลดโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) จะต้องใช้นโยบายแก้ไขที่รุนแรงขึ้น หากตลาดแรงงานทรุดตัวลงไปอีก"
ข้อมูลจากสำนักสถิติแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่า เดือนก.ค.ที่ผ่านมา เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก ขณะที่อัตราการว่างงานก็ขยับขึ้นเล็กน้อยจาก 4.1% ในเดือนมิ.ย. เป็น 4.2% ในเดือนก.ค.
ในการประชุมนโยบายเฟดเมื่อปลายเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารกลางมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25% - 4.5% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว โดยสำนักข่าวซินหัวรายงานว่า โบว์แมนเป็นหนึ่งในสองเจ้าหน้าที่เฟดที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจดังกล่าว
เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ค่อนข้างระมัดระวังเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย เพราะกังวลว่ามาตรการภาษีนำเข้าที่ใช้กับคู่ค้าของสหรัฐฯ อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นได้ โดยดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ ในเดือนมิ.ย.ก็เพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.
อย่างไรก็ดี โบว์แมนมองว่าราคาที่เพิ่มขึ้นเพราะภาษีนำเข้าเป็นเพียง "ผลกระทบที่เกิดขึ้นครั้งเดียว" และเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับสู่เป้าหมายของเฟดที่ 2% ในที่สุด
โบว์แมนกล่าวว่า "นโยบายการเงินต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งกว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การที่เรามองข้ามตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงขึ้นชั่วคราวและผ่อนคลายนโยบายบางส่วนเพื่อไม่ให้ตลาดแรงงานอ่อนแอลงนั้น จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล"
ทั้งนี้ เฟดยังมีกำหนดการประชุมนโยบายอีก 3 ครั้งในปีนี้ คือในเดือนก.ย. ต.ค. และธ.ค.