คริสเตียน ฮอว์กสบี ผู้ว่าการธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) แถลงต่อคณะกรรมาธิการรัฐสภาในวันนี้ (21 ส.ค.) ว่า มาตรการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศนั้นออกฤทธิ์ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเรื่องกำแพงภาษีที่ยังคงบั่นทอนความเชื่อมั่นของทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภค
"ผลตอบสนองต่อการลดดอกเบี้ยของเราจนถึงขณะนี้ ยังไม่ส่งผลรวดเร็วดังที่หวัง" ฮอว์กสบีกล่าวถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากที่ RBNZ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% สู่ระดับ 3.00% ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี โดยนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2567 เป็นต้นมา RBNZ ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมแล้ว 2.50% เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ฮอว์กสบีชี้แจงเพิ่มเติมว่า สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ความเชื่อมั่นซบเซาเป็นผลพวงมาจากการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ในเดือนเม.ย. ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขนานนามว่าเป็น "วันแห่งอิสรภาพ" (Liberation Day) ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนเชิงนโยบายตามมาเป็นระลอก
"สิ่งที่น่าประหลาดใจสำหรับเรานับตั้งแต่เดือนพ.ค.เป็นต้นมาคือ ผลกระทบอันยืดเยื้อยาวนานที่มีต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและผู้บริโภคในประเทศ ทั้ง ๆ ที่นิวซีแลนด์เองก็ไม่ได้เผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดโดยตรง" ฮอว์กสบีกล่าวเสริมปัจจุบัน สหรัฐฯ ได้ประกาศใช้มาตรการกำแพงภาษีในอัตรา 15% กับสินค้านำเข้าจากนิวซีแลนด์ ซึ่งสูงกว่าที่เคยส่งสัญญาณไว้ที่ 10% แต่ก็ยังนับว่าเบากว่าที่ประเทศคู่ค้าอื่น ๆ จำนวนมากต้องเผชิญ
ผู้ว่าการ RBNZ ชี้ว่า แม้มาตรการดังกล่าวจะกระทบต่ออุตสาหกรรมหลายแขนงของนิวซีแลนด์โดยตรง แต่ผลกระทบในวงกว้างกว่านั้นจะมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาลง ซึ่งจะฉุดรั้งอุปสงค์สินค้าและบริการ "และนี่คือปัจจัยหลักที่เราใช้พิจารณาในการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ย"
อย่างไรก็ดี RBNZ ยังคงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของนิวซีแลนด์จะเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเชื่อว่าไตรมาส 2 คือจุดต่ำสุดของวัฏจักรเศรษฐกิจแล้ว
"เรายังมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และคาดว่าจะได้เห็นการเติบโตเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้" ฮอว์กสบีกล่าว