แอนดรูว์ เฮาเซอร์ รองผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) เปิดเผยในวันนี้ (10 พ.ย.) ว่า นโยบายการเงินของออสเตรเลียกำลังเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญ เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ปีที่แล้วในขณะที่อุปสงค์ยังคงสูงกว่าศักยภาพการผลิต ซึ่งส่งสัญญาณว่าแทบไม่มีโอกาสสำหรับการผ่อนคลายนโยบายการเงินในระยะใกล้นี้
เฮาเซอร์ระบุว่า อุปสงค์ในระบบเศรษฐกิจ "สูงกว่าเล็กน้อย" เมื่อเทียบกับศักยภาพการผลิต ในช่วงที่ GDP เริ่มขยายตัวขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นภาวะเศรษฐกิจที่ตึงตัวที่สุดในรอบการฟื้นตัวนับตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1980
ภาวะดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า หากพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้นอีก ก็จะส่งผลให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้ง่าย นโยบายการเงินจำเป็นต้องมีความเข้มงวดมากพอที่จะลดช่องว่างนี้ลงอย่างต่อเนื่อง โดยการไม่มีกำลังการผลิตส่วนเกินถือเป็นข่าวดี เพราะหมายถึงภาคธุรกิจที่คึกคักและการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น แต่ก็สร้างความท้าทายต่อการกำหนดนโยบายเช่นกัน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว RBA มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 3.6% ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 พ.ย. ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด โดย RBA เตือนว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระบบเศรษฐกิจปรับตัวสูงขึ้น และย้ำว่าการดำเนินนโยบายการเงินในการประชุมครั้งต่อไปจะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่จะได้รับ
การตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนั้นมีขึ้นหลังจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 3.2% ในไตรมาส 3/2568 เมื่อเทียบเป็นรายปี และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 3% ขณะที่ตลาดแรงงานยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว
ขณะนี้มีการคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะยังคงลอยตัวอยู่เหนือกรอบเป้าหมายที่ 2-3% ไปจนถึงอย่างน้อยกลางปี 2569 เนื่องจาก RBA ยอมรับว่าเศรษฐกิจอาจมีข้อจำกัดด้านอุปทานมากกว่าที่เคยประเมินไว้ ขณะที่นักวิเคราะห์จากหลายสำนัก ตั้งแต่โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ไปจนถึงคอมมอนเวลธ์ แบงก์ ออฟ ออสเตรเลีย (Commonwealth Bank of Australia) ต่างก็คาดการณ์ว่า วงจรการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ RBA ได้สิ้นสุดลงแล้ว ขณะที่คาดว่าการปรับลดดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในเดือนพ.ค. 2569
เฮาเซอร์กล่าวเสริมว่า เศรษฐกิจออสเตรเลียจำเป็นต้องเพิ่มด้านอุปทาน โดยการส่งเสริมผลิตภาพและการลงทุนเพื่อสร้างศักยภาพการผลิตใหม่ ๆ เนื่องจาก RBA กังวลว่าปัญหาผลิตภาพต่ำของประเทศอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่ฝังตัวลึก (sticky inflation)
"ถ้าเราพลาด เราก็จะตกอยู่ในสถานการณ์หลังชนฝา แต่ถ้าเราทำสำเร็จ ก็เรียกได้ว่าไปโลด" เฮาเซอร์กล่าว