นางเยลเลนกล่าวว่า “ขณะที่ไม่มีการกำหนดกรอบเวลานั้น" เฟดจะตัดสินใจว่าจะลดขนาดการซื้อสินทรัพย์หรือไม่ในการประชุมแต่ละครั้งของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด หรือ FOMC
“ในการประชุมแต่ละครั้ง เราจะพยายามประเมินว่ามีความคืบหน้าในตลาดแรงงานหรือไม่" นางเยลเลนแถลงต่อคณะกรรมการด้านการธนาคาร, ที่อยู่อาศัยและกิจการในเขตเมืองของวุฒิสภา
“การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่งจะทำให้เฟดสามารถปรับลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินและลดการพึ่งพาเครื่องมือด้านนโยบายแบบพิเศษ เช่น การซื้อสินทรัพย์ ได้ในท้ายที่สุด" นางเยลเลนกล่าว
ว่าที่ประธานเฟดกล่าวว่า สหรัฐได้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่มืดมนของวิกฤตการเงิน ซึ่งรวมถึงการล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิงส์ อิงค์ ในปี 2551 มานานแล้ว แต่ “เรายังต้องเดินหน้าต่อไป"
หากได้รับการรับรองจากวุฒิสภา นางเยลเลนจะเข้าทำหน้าที่ประธานเฟดคนใหม่ในเดือนก.พ.ปีหน้า หลังจากที่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดคนปัจจุบันครบวาระในเดือนม.ค. โดยเธอจะเป็นสตรีคนแรกที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดของเฟดในประวัติศาสตร์ 100 ปี
“ปัจจุบันนี้ เศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก และยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง" โดยระบุถึงการกระเตื้องขึ้นของภาคอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยและรถยนต์
แต่ในด้านสถานการณ์การจ้างงานนั้น นางเยลเลนกล่าวว่า อัตราว่างงานที่ 7.3% ในเดือนต.ค.นั้นเป็นระดับที่ “สูงเกินไป ซึ่งสะท้อนถึงตลาดแรงงานและเศรษฐกิจที่ปรับตัวต่ำกว่าศักยภาพอย่างมาก"
นางเยลเลนกล่าวว่า เงินเฟ้อได้ปรับตัวต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% ของเฟด และคาดว่าจะยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไปสักระยะหนึ่ง
ด้านนายเบอร์นันเก้ ประธานเฟดคนปัจจุบัน ได้กล่าวว่าเฟดจะเริ่มชะลอมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE ซึ่งอาจจะมีขึ้นภายในปลายปีนี้ หากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการจ้างงานของสหรัฐยังคงปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เฟดได้ซื้อหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) ของหน่วยงานที่รัฐบาลให้การสนับสนุนและพันธบัตรสหรัฐวงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน โดยไม่มีการกำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการ เพื่อหนุนเศรษฐกิจด้วยการจัดสรรสภาพคล่องเพิ่มมากขึ้นสู่ตลาด สำนักข่าวเกียวโดรายงาน