“เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่เห็นพ้องว่าการปรับตัวดีขึ้นของภาวะตลาดแรงงาน และความเป็นไปได้ที่การปรับตัวดีขึ้นดังกล่าวจะมีความต่อเนื่องนั้นบ่งชี้ว่าคณะกรรมการอาจจะเริ่มชะลออัตราการซื้อสินทรัพย์อย่างเหมาะสมในการประชุมครั้งนี้" รายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ระบุ
เจ้าหน้าที่บางรายแสดงความวิตกเกี่ยวกับภาวะตึงตัวที่เกิดโดยไม่ตั้งใจของสถานการณ์ทางการเงิน หากมีการตีความว่าการปรับลดสัดส่วนการซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวเป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดมีแนวโน้มจะถอนมาตรการผ่อนคลายเชิงนโยบายอย่างรวดเร็วมากกว่าที่คาดการณ์กันไว้
เจ้าหน้าที่เฟดจำนวนมากมองว่าเฟดควรดำเนินการอย่างระมัดระวังในการดำเนินการครั้งแรกเพื่อลดขนาดการซื้อสินทรัพย์ และควรระบุว่าการปรับลดต่อไปจะมีการดำเนิน “ในขั้นตอนที่ระมัดระวัง"
นอกจากนี้ ยังมีการหารือกันเกี่ยวกับการส่งเสริมมาตรการสัญญาณชี้นำล่วงหน้า (Forward Guidance) เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น
ขณะที่เจ้าหน้าที่บางรายระบุว่าการปรับลดเป้าอัตราว่างงานจาก 6.5% สู่ระดับ 6.0% อาจจะบ่งชี้อย่างมีประสิทธิภาพถึงเจตนารมณ์ของเฟดในการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระยะดับต่ำเป็นระยะเวลานานนั้น เจ้าหน้าที่ FOMC ส่วนใหญ่เห็นพ้องกันที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ และต้องการเน้นย้ำว่าจะมีการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษ “จนผ่านพ้นช่วงเวลาที่อัตราว่างงานลดลงต่ำกว่า 6.5%" หากการคาดการณ์เงินเฟ้อยังคงทรงตัว
ส่วนประเด็นอัตราเฟ้อต่ำก็เป็นเรื่องที่สร้างความกังวลในการประชุมดังกล่าว ขณะที่เจ้าหน้าที่จำนวนมากมองว่าจำเป็นต้องจับตาความคืบหน้าด้านเงินเฟ้ออย่างระมัดระวังเพื่อประเมินความชัดเจนว่าเงินเฟ้อ ซึ่งได้ปรับตัวต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% อย่างต่อเนื่องนั้น จะเคลื่อนไหวกลับมาสู่เป้าหมายระยะยาวของเฟด
เฟดประกาศในแถลงการณ์ฉบับหนึ่งหลังการประชุมเมื่อเดือนธ.ค.ว่าจะเริ่มชะลอการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) มาอยู่ที่ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จาก 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน
นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดที่กำลังจะครบวาระได้กล่าวเมื่อต้นเดือนนี้ว่า การตัดสินใจของเฟด “ในการที่จะลดสัดส่วนการซื้อสินทรัพย์ลงเล็กน้อยในการประชุมเมื่อเดือนธ.ค.นั้น ไม่ได้บ่งชี้การปรับเปลี่ยนพันธสัญญาของเฟดในการคงนโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายขนานใหญ่ตราบเท่าที่มีความจำเป็น"
“การตัดสินใจดังกล่าวสะท้อนถึงความคืบหน้าที่เราได้ดำเนินการเพื่อไปสู่ป้าหมายของการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของแนวโน้มตลาดแรงงาน" นายเบอร์นันเก้กล่าว
วาระการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ของนายเบอร์นันเก้จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ม.ค.นี้ และผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนต่อไปก็คือ นางเจเน็ต เยลเลน ซึ่งได้ทำหน้าที่รองประธานเฟดมานับแต่ปี 2553 และจะกลายเป็นสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ 100 ปีของเฟดที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดนี้
ทั้งนี้ เฟดจะมีการประชุมกำหนดนโยบายการเงินครั้งต่อไปในวันที่ 29-30 ม.ค. สำนักข่าวซินหัวรายงาน